นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยบริษัทฯ จะเน้นขยายฐานลูกค้าต่างประเทศไปพร้อมๆ กับรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคต ประกอบกับบริษัทฯ ยังเริ่มรับรู้รายได้และกำไรจากบริษัทย่อย คือ บริษัท รีเจนท์ ชิปปิ้ง ไทยแลนด์ และบริษัทร่วม คือ บริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ (SSK) ตั้งแต่ไตรมาส 2/2559 ส่งผลให้ NCL เป็นบริษัทโลจิสติกส์ครบวงจรที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
"ปีนี้น่าจะได้เห็นการเติบโตอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นของบริษัทฯ จากฐานลูกค้าเก่าและลูกค้ารายใหม่ๆ ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสาขาย่อยที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี 58 พบว่าฐานลูกค้าเติบโตสูงถึง 100% และคาดว่าน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ดังนั้นจึงทำให้เชื่อมั่นว่าปีนี้รายได้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้"นายกิตติกล่าว
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 2/59 ของงบเฉพาะกิจการมีกำไรสุทธิ 17.13 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 23.99 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 17.76 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 31.42 ล้านบาท
ส่วนงบการเงินรวมของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 8.38 ล้านบาท เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 31.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.41%
ผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 7.34 ล้านบาท เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 40.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.19%
โดยมีสาเหตุหลักมาจากในปี 58 บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจากการเริ่มต้นการให้บริการรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นการบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร โดยเป็นการรับบริการจัดการขนส่งสินค้าแบบตู้คอนเทนเนอร์ครบวงจร จากท่าเรือระนองประเทศไทยไปยังท่าเรือย่างกุ้งประเทศพม่า ซึ่งในปี 59 ไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้ว ส่งผลให้ยอดค่าใช้จ่ายลดลงประมาณ 14.63 ล้านบาท ประกอบกับในปี 58 มีค่าใช้จ่ายขาดทุนจากการตัดจ่ายเงินประกันจากโครงการท่าเรือระนองจำนวน 18.49 ล้านบาท ซึ่งในปี 59 ไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้วเช่นกัน
อีกทั้งในปี 59 บริษัทฯ มีกำไรจากการโอนทรัพย์สินไปลงทุนในในบริษัทร่วมค้าจำนวน 5.66 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ก็มียอดกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 58 ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานกำไรสูทธิในงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการรวมเท่ากับ 496.19 ล้านบาท ลดลง 9.62 % โดยมีสาเหตุหลักๆ เกิดจากรายได้ค่าบริการจัดการขนส่งสินค้าแบบตู้คอนเทนเนอร์ครบวงจรจากท่าเรือระนองประเทศไทยไปยังท่าเรือย่างกุ้งประเทศพม่าลดลงจากปี 58 ทั้งจำนวน
เนื่องจากในปี 59 บริษัทฯไม่มีรายได้ในส่วนนี้แล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์มียอดรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2558 ซึ่งเกิดจากการขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ส่วนรายได้จากธุรกิจขนส่งสินค้าในประเทศด้วยรถบรรทุกหัวลาก-หางลากมียอดรายได้เพิ่มขึ้น 9.70 ล้านบาท คิดเป็น16.26 % เนื่องจากในปี 58 ลูกค้าที่เป็นการขนส่งสินค้าเกษตรรายหนึ่งมียอดใช้บริการลดลงจากเดิม เนื่องจากผลผลิตที่ลดลง แต่ในปี 59 มียอดใช้บริการเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นระดับปกติ