โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) หลังมองแนวโน้มกำไรสุทธิในครึ่งหลังปีนี้ จะเติบโตราว 10-20% จากระดับ 2.76 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก และคาดว่าทั้งปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 6.4 พันล้านบาท โดยเฉพาะในไตรมาส 3/59 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาทูน่า และกุ้ง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักมีมาร์จิ้นดีขึ้น จากการปรับลดต้นทุนลง ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์ปลาแซลมอน ก็ได้เจรจากับลูกค้าขอปรับขึ้นราคาด้วย
ประกอบกับบริษัทยังเดินหน้าซื้อกิจการต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยทำให้ธุรกิจของ TU สามารถครอบคลุมตลาดได้กว้างขึ้น และขยายแบรนด์ออกไปหลายประเทศ รวมถึงในตลาดใหม่ ๆ ด้วย ขณะที่ผู้บริหารบริษัท ยังยืนยันที่จะทำยอดขายให้ถึงเป้าหมาย 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 63
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ทรีนีตี้ ซื้อ 29.00 ดีบีเอสฯ ซื้อ 26.50 บัวหลวง ซื้อ 26.00 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 26.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 26.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 25.50
น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวแนะนำ"ซื้อ"หุ้น TU โดยราคาเป้าหมาย 25.50 บาท เพราะเห็นแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังยังสดใส โดยคาดว่ากำไรจะเติบโตราว 20% จากครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นการเติบโตจากทุกกลุ่มธุรกิจและในปีนี้ธุรกิจกุ้งฟื้นตัวทำกำไรได้ดี นอกเหนือจากธุรกิจทูน่า ซึ่งยังเป็นธุรกิจหลัก
ทั้งปีคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 6.4 พันล้านบาท เติบโต 21% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.3 พันล้านบาท
"ธุรกิจทูน่า และกุ้งเป็นธุรกิจหลัก ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีการซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง เช่นในเยอรมัน แคนาดา ช่วยมาต่อยอดธุรกิจเดิม ทำให้ฐานธุรกิจครอบคลุมทั่วโลก"น.ส.สุทธาทิพย์ กล่าว
นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรในไตรมาส 3/59 เป็นระดับสูงสุดของปีเนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น ธุรกิจในยุโรปมีแนวโน้มเติบโตได้ดี และปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมีการเจรจากับลูกค้าในการปรับราคาขายแซลมอนขึ้นหลังจากต้นทุนปรับขึ้นมา ดังนั้น TU จึงมีแนวโน้มเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวจากฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีแบรนด์เป็นของตัวเองและมีแผนซื้อกิจการเพื่อขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง
นายประสิทธิ์ สุจิรวรกุล นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวแนะนำ"ซื้อ"หุ้น TU ให้ราคาเป้าหมายปีหน้าที่ 26.00 บาท เนื่องจากธุรกิจ TU ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แม้ว่าในไตรมาส 2/59 ที่ผ่านมาธุรกิจแซลมอนขาดทุนฉุดกำไรของบริษัท แต่แนวโน้มจะดีขึ้นเพราะเจรจากับลูกค้าเพื่อปรับขึ้นราคา
แนวโน้มในครึ่งปีหลังนี้ ผลกำไรจะดีกว่าครึ่งปีแรกประมาณ 10% เพราะมาร์จิ้นโดยรวมดีขึ้น แต่หากเทียบกับครึ่งหลังปี 58 ผลกำไรน่าจะใกล้เคียงกัน หรือเติบโตกว่าเล็กน้อย
"ครึ่งปีหลังราคาแซลมอนดีขึ้น กุ้งก็มีมาร์จิ้นดีขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง โดยไตรมาส 3 จะเป็นช่วงไฮซีซั่น" นายประสิทธิ์ กล่าว
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TU ประกาศกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/59 ที่ 1.53 พันล้านบาท หากหักรายการพิเศษจะคิดเป็นกำไรปกติ 1.49 พันล้านบาท เติบโตถึง 55% จากไตรมาสก่อน โดยภาพรวมเกือบทุกธุรกิจเติบโตได้ดี ส่วนธุรกิจกุ้งและแซลมอนอาจถูกกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นไปบ้าง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง แต่คาดจะมีการเจรจาปรับราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนได้ ทำให้แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/59 ยังสดใส โดยปรับราคาเป้าหมายเป็นปี 60 ที่ 29 บาท อิงวิธี DCF ทำให้ Upside กลับมาสูงอีกครั้ง จึงแนะนำ "ซื้อ"
"เรามองว่าผลประกอบการในไตรมาส 3 ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาทูน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ เนื่องจากเป็นฤดูกาลห้ามใช้เครื่องมือรวมฝูงปลา ขณะที่ธุรกิจกุ้งและแซลมอนที่อัตรากำไรขั้นต้นได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นนั้น คาดว่าในครึ่งปีหลังจะสามารถปรับราคาขายได้ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นได้"
นอกจากนี้ ผู้บริหารยังยืนยันที่จะทำยอดขายให้ถึงเป้า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63 โดยนอกจากการเติบโตของธุรกิจเดิม และการทำซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) ที่มีต่อเนื่องแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ Innovation ต่างๆ ทั้งในด้านกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองตลาด ซึ่งหากสำเร็จมองว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก