นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) เปิดเผยถึงแนวโน้มของธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า ยังมีทิศทางที่ดีทั้งธุรกิจเหล็กต้นน้ำที่ผู้ประกอบการยังหันมาใช้เหล็กในประเทศแทนการนำเข้าเพิ่มขึ้น และธุรกิจพลังงานที่จะเห็นการรับรู้รายได้เพิ่มในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ได้ลงทุนไปแล้ว 58 และโครงการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง
"ปีนี้อุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาวหรือ Steel Billet ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี จากการใช้มาตรฐาน มอก.เข้ามาควบคุมคุณภาพเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เหล็กคุณภาพต่ำเข้ามาในตลาดไทยได้ยากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศเริ่มหันมาสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศแทนการนำเข้า โดยพบว่า CHOW มีคำสั่งซื้อสินค้าเหล็กต้นน้ำเข้ามาหนาแน่นขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจเหล็กฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ประกอบกับในปีนี้จะรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานเข้ามาเพิ่มจากโครงการที่พร้อมขายไฟในปี 58 และจากโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าไม่ต่ำกว่า 80 เมกะวัตต์ ดังนั้นจะสะท้อนให้ผลประกอบการของ CHOW ในปีนี้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ตามแผนงานที่ได้วางไว้"นายอนาวิลกล่าว
สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 51.07 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 33.34 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.04 บาท คิดเป็นร้อยละ 188.04 เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิรวม 17.73 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.02 บาท
ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นมาจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมสำหรับงวด 6 เดือน จำนวน 1,852.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.22 เมื่อเทียบกับปี 58 ที่มีรายได้รวมจำนวน 1,665.66 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการจำหน่ายเหล็กเพิ่มขึ้น 42.80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.84 สาเหตุเนื่องจากมีการนำเข้าเหล็กลดลงตามมาตรการของรัฐบาล ทำให้ราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทสามารถขายสินค้าได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทย่อยได้รับรู้รายได้จำนวน 820.83 ล้านบาท
ซึ่งประกอบด้วยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในต่างประเทศจำนวน 5 โครงการและในประเทศ 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 16.76 เมกะวัตต์ และรายได้จากการพัฒนาโครงการจำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์ และรายได้จากการก่อสร้างโครงการตามอัตราส่วนงานที่ทำเสร็จจำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 27.22 เมกะวัตต์
ในขณะที่ต้นทุนขายและบริการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของรายได้ โดยต้นทุนขายและต้นทุนบริการรวมสำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 มีจำนวน 1,565.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.53 เมื่อเทียบกับปีก่อน สัมพันธ์กับปริมาณการจำหน่ายเหล็กที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ต้องการใช้เหล็กแท่งเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทย่อยได้รับรู้ต้นทุนขายไฟฟ้าการพัฒนาโครงการ และการก่อสร้างโครงการ จำนวน 684.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.52 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับปีก่อน สัมพันธ์กับรายได้จากการขายไฟฟ้าและรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น