นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับฐานในกรอบ 1,520-1,540 จุด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ประกอบกับ ตลาดต่างประเทศก็เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ แม้ว่าดาวโจนส์เมื่อคืนที่ผ่านมาจะบวก 21 จุด แต่ก็ไม่มีผลมากนัก
อย่างไรก็ดี ให้จับตา Fund Flow ในช่วงนี้ เนื่องจากจะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติได้ทำการเปิดสถานะ Short ในตลาดฟิวเจอร์สมากขึ้น และนักลงทุนรายสถาบันก็ดูจะขายแรง
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (17 ส.ค.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 18,573.94 จุด เพิ่มขึ้น 21.92 จุด (+0.12%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,228.66 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด (+0.03%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,182.22 จุด เพิ่มขึ้น 4.07 จุด (+0.19%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 95.73 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.81 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 246.91 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 12.82 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.40 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 3.26 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.33 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 2.11 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (17 ส.ค.59) 1,531.63 จุด ลดลง 5.89 จุด(-0.38%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,277.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 ส.ค.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (17 ส.ค.59) ปิดที่ 46.79 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (17 ส.ค.59) ที่ 3.19 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.57/59 แข็งค่าหลังเงินดอลล์อ่อนตัวจากเฟดไม่ชัดเจนขึ้นดอกเบี้ย
- ธปท.เผย 14 ก.ย.เตรียมปรับตัวเลขจีดีพีใหม่ หลังไตรมาส 2 ขยายตัวดีเกินคาดที่ 3.5% ขณะที่เอกชนลงทุนต่ำแค่ 0.1% สะท้อนฟื้นตัวอ่อนแอ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กังวลมากสุด มองระเบิดหลายพื้นที่กระทบระยะสั้น ไม่ยืดเยื้อจะฟื้นตัวเร็ว ชี้บาทแข็งค่าจากเงินไหลเข้า ผลเสียต่อเศรษฐกิจ ต้องติดตามใกล้ชิด
- กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทในช่วงนี้แข็งค่าเร็วเกินไป แต่ก็แข็งค่าเกาะไปกับภูมิภาคทำให้ยังไม่มีผลต่อการส่งออก แต่ก็มีลูกค้ามาสอบถามขอความช่วยเหลือบ้าง
- คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบให้ตรึงค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2559 เท่ากับงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2559 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนอยู่ที่ 3.4227 บาท/หน่วย แม้การคำนวณตัวแปรต่างๆ ทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงและเงินสะสมที่เกิดจากการใช้จ่ายไม่เป็นไปตามแผน (ค่า AF) และค่าเอฟทียังปรับเพิ่มขึ้น 11.47 สตางค์/หน่วย ก็ตาม
- อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า การเก็บภาษีปีงบประมาณ 2559 คาดว่าจะได้ใกล้เคียงเป้าหมาย 1.14 แสนล้านบาท แม้ว่ากรมจะได้รับผลกระทบจากการลดภาษีสินค้าไอที ทำให้ภาษีหายไป 1,200 ล้านบาท แต่กรมได้เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บภาษี โดยการอุดช่องรั่วตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
*หุ้นเด่นวันนี้
- THAI (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 32 บาท แผนปฏิรูปองค์กรยังไปได้สวย แนวโน้ม Q3-Q4 พลิกกลับเป็นกำไร และยังมีช่องทางลดค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่น้ำมันอีกมาก จากแผนปฏิรูปฯลดต้นทุนที่ไม่ใช่น้ำมันแล้ว 7% จากเป้า 20% จากต้นทุนปี 57 (หรือคิดเป็นต้นทุนที่จะลดลงกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท) โดยจะเน้นให้บริการแบบ connecting flights และ point-to-point flights อีกทั้ง H2/59 และปีหน้าบริษัทจะได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันต่ำ และ Cabin factor โต qoq และ yoy ในก.ค.และส.ค.
- CENTEL (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 47 บาท ช่วง H2/59 คาดโตสดใส YoY หลังธุรกิจเที่ยวไทยยังแกร่ง ส่วนธุรกิจอาหารยังออกสินค้าและโปรโมชั่นใหม่ ๆ โดยปี 59 คาดกำไรปกติโต 7.7%YoY และโตต่อ 10.9%YoY ในปี 60 และ Upside 14.6% และมี Upside Risk หลังกำลังศึกษาร่วมมือสร้างโรงแรมในปั๊ม ปตท. และซื้อแบรนด์ร้านอาหารในไทยเพิ่ม
- SENA (ยูโอบี เคย์เฮียน) กำไร 2Q59 ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์และมากกว่าตลาดคาดจากผลบวกจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทำให้การรับรู้ยอดโอนเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ในปี 59 ยังมีแผนเปิดตัว 8 โครงการใหม่จะช่วยให้ผลการดำเนินงานปี 60 เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทยังจ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรกคิดเป็นอัตราผลตอบแทนกว่า 5%
- GLOBAL (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 16.3 บาท การเพิ่มสินค้า House Brand และเพิ่ม Product Mix เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนอัตรากำไรขึ้นต้นปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับกำไร 2Q16 ที่ดีกว่าคาด ทำให้ปรับประมาณการกำไรขึ้น 6-7% ในปี 2016-17
- BJC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 54 บาท การซื้อ BIGC สร้างผลตอบแทนให้เร็วกว่าคาด ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการซื้อจะสูงแต่กำไรของ BIGC บวกกับการเพิ่มทุนและการกู้ยืม ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเพียงปีเดียว คือปีนี้ที่ EPS จะลดลง 50% Y-Y แต่การเติบโตปีหน้าก้าวกระโดด 105% Y-Y ทำให้ PE ปีหน้าเหลือ 25 เท่า ต่ำสุดในกลุ่ม Modern trade