นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า ปตท.อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อทำสัญญาระยะยาวเพื่อซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อีกราว 3 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีสัญญาระยะยาวกับการ์ต้า 2 ล้านตัน/ปีเท่านั้น โดยได้เจรจาทั้งกลุ่มเชลล์ และบีพี รวมถึงรายใหม่ ในปริมาณรายละ 1 ล้านตัน/ปี คาดว่าจะสรุปได้ในเดือน ก.ย.นี้เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทต่อไป โดยการนำเข้าบางสัญญาก็อาจจะนำเข้ามาได้ตั้งแต่ปีหน้า ขณะที่บางสัญญาอาจจะขยับไปอีก 1-2 ปี
ทั้งนี้ ปตท.มีแผนที่จะนำเข้า LNG เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะมีการนำเข้า LNG ราว 4-5 ล้านตัน จากราว 3 ล้านตันในปีนี้ โดยวางเป้าหมายจะมีการนำเข้าตามสัญญาระยะยาวเวลา 10 ปี ราว 5 ล้านตัน/ปี ขณะที่เป็นสัญญาระยะสั้น 3-5 ปีบางส่วน ตลอดจนจะมีการนำเข้าจากตลาดจร (spot) อีกบางส่วนด้วย
"เรากำลังเจรจาอยู่ไม่เฉพาะเชลล์และบีพี อาจจะมี surprise อีกเพราะวันนี้ LNG เป็นตลาดของผู้ซื้อ เจรจาทั้งรายใหม่และรายเดิมน่าจะมีข้อยุติได้ในเดือนกันยายนนี้ ตอนนี้เราคุยอยู่เฉลี่ยรายละ 1 ล้านตัน เรามองสัญญาระยะยาวอีก 3 ล้านตัน"นายเทวินทร์ กล่าว
ด้านนายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน PTT กล่าวว่า แนวโน้มผลกำไรของปตท.ในครึ่งหลังของปีนี้ค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ในช่วงขาลง แต่ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมองราคาน้ำมันดิบดูไบที่ราว 42-46 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 37.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในครึ่งปีแรก โดยมาร์จิ้นของธุรกิจก๊าซฯยังอยู่ในทิศทางที่เป็นบวก ขณะที่จะไม่มีหยุดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซฯเหมือนในครึ่งปีแรก ทำให้คาดว่าธุรกิจก๊าซฯยังมีผลประกอบการที่ดี
ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี แม้คาดว่ามาร์จิ้นของโรงกลั่นจะลดลง โดยค่าการกลั่น (GRM) ในตลาดสิงคโปร์จะอยู่ในช่วง 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 6.37 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในครึ่งปีแรก ซึ่งจะกดดันผลประกอบการโรงกลั่น แต่ในครึ่งปีหลังจะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นของบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เหมือนครึ่งปีแรก ประกอบกับ ปริมาณการกลั่นน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นของบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) หลังเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ก็น่าจะเข้ามาชดเชยมาร์จิ้นที่ลดลงของโรงกลั่นได้
"กำไร ปตท.ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ไม่หวือหวามากขึ้นมากหรือน้อยลง ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวลดลง upstream ของปตท.สผ. ก็จะน้อยลง โรงกลั่นก็จะเพิ่มขึ้น จะเป็นไม้กระดกไปกระดกมา กำไรก็น่าจะคาดการณ์ได้บวก ๆ ลบ ๆ ไม่มากเราไม่เห็นเหตุผลที่จะติดลบเพราะธุรกิจต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น...กำไรครึ่งปีหลังเป็นไปได้มากกว่า ทั้งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก operation จะ stable และเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่มาร์จิ้นจะปรับตัวตามสถานะเศรษฐกิจภาพรวม หรือ demand supply ของแต่ละส่วน"นายวิรัตน์ กล่าว
อนึ่ง ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ PTT มีกำไรสุทธิ 4.85 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.63 หมื่นล้านบาท แต่ทั้งปี 58 PTT ทำกำไรสุทธิได้เพียง 1.99 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการด้อยค่าสินทรัพย์มากถึง 5.5 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง
นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนหนึ่งเพื่อเข้ามาดูแลราคาเชื้อเพลิงสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยและกลุ่มรถยนต์สาธารณะนั้น จะช่วยลดภาระการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงในส่วนที่ปตท.ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการอุดหนุนราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) สำหรับผู้มีรายได้น้อย และการอุดหนุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) สำหรับรถยนต์สาธารณะในปีนี้คาดว่าจะมีภาระดังกล่าวอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท
สำหรับกระแสเงินสดของ ปตท.ที่มีอยู่จำนวนมากนั้น ทำให้ ปตท.ยังมองหาโอกาสการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน (M&A) อยู่ต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และมองจังหวะในการซื้อคืนหุ้นกู้ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต