นายพีระพล วิไลวงศ์เสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) (SMT) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทได้ใช้กลยุทธ์หมุนกำลังการผลิตออกจากสินค้า ประเภทมาร์จิ้นต่ำ อย่าง MMA มาผลิตสินค้าประเภท high value added เช่น IC Packaging (แผงวงจรไฟฟ้ารวม) , Wafer dicing, Captive และ Specialty ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปีนี้
"บริษัทคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 60 ล้านบาท ได้ภายในปี 59 นี้ โดยจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาใช้ล้างขาดทุนสะสม และเชื่อว่าในปีนี้จะกลับมาจ่ายปันผลได้อีกครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณานำเสนอขออนุมัติต่อมติบอร์ดบริษัทด้วย และปีนี้เรามั่นใจจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ เพราะปีนี้เรามีตัว New Product ที่เข้ามาเสริม ทำให้มาร์จิ้นสูง ส่งผลต่อเนื่องมายังกำไรสุทธิ SMT เริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาสแรกว่ากำไรดีขึ้น จากงาน New Product"นายพีระพล กล่าว
นายพีระพล กล่าวว่า ปีที่ผ่านมายอดการผลิตสินค้าประเภท high value added เช่น IC Packaging, Wafer dicing, Captive และ Specialty เพิ่มขึ้นมาราว 120% ทำให้มีสัดส่วนประมาณ 21% ของรายได้ เทียบกับปี 57 ที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของรายได้ ขณะที่สินค้ามาร์จิ้นต่ำอย่าง MMA ซึ่งเดิมเป็นรายได้หลักของบริษัท มีสัดส่วนลดลงจาก 92% ในปี 57 เหลือ 79% ในปี 58 และคาดว่าในปี 59 จะลดลงเหลือ 61%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/59 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 12.75 ล้านบาทในงวดปีก่อน โดยมีรายรับจากการขายสินค้าและบริการจำนวน 935.83 ล้านบาท ลดลง 47.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของสินค้าในกลุ่ม Hard Disk Drive เนื่องจากการหดตัวของตลาด Hard Disk Drive และการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทมีรายได้จากสินค้าและบริการในธุรกิจการประกอบและทดสอบแผงวงจรไฟฟ้ารวม เพิ่มมากขึ้นเป็น 357 ล้านบาท จาก 227 ล้านบาทในงวดปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 57.27% ขณะที่ธุรกิจดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในกลุ่ม Hard Disk Drive ทำให้บริษัมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น เมื่อรวมกับมาตรการลดต้นทุนที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในไตรมาส 2/59 มีอัตรากำไรขั้นต้น 85.33 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรา กำไรขั้นต้นเพียง 33.73 ล้านบาท
"รายได้และกำไรที่ออกมาสวย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/58 เนื่องจากบริษัทได้ใช้กลยุทธ์หมุนกำลังการผลิตออกจากสินค้าประเภทมาร์จิ้นต่ำ อย่าง MMA มาผลิตสินค้าประเภท high value added กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ส่งผลดีกับบริษัทคือ การประหยัดเงินลงทุนในสายการผลิตสินค้ามาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นน้อยมาก และสามารถหมุนพนักงานเดิมออกมาทำงานที่สร้างผลกำไรที่ดีให้กับบริษัท โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ใกล้เคียงกับปี ที่ผ่านมา โดยจะเป็นยอดขายของสินค้าใหม่ประมาณ 1,628 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะป็นผลิตภัณฑ์เดิมประกอบด้วย IC Packaging และ MMA" นายพีระพล กล่าว