นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) กล่าวว่า บริษัทเตรียมจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อเข้ามาดำเนินธุรกิจพลังงาน หากได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้จำนวน 2 โรง กำลังการผลิตรวม 18.4 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการเปิดซองเสนอราคาในวันที่ 22 ส.ค. และประกาศผลในวันที่ 25 ส.ค. ซึ่งหากบริษัทชนะการประมูลโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะเริ่มจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งและจะนำบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 60
แต่หากบริษัทไม่ได้เป็นผู้ชนะการประมูล บริษัทก็มีแผนสำรองในการหาโรงไฟฟ้าอื่นเข้ามาชดเชย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าไปถือหุ้นโรงไฟฟ้าอีก 3-4 ดีล รวมถึงยังมีลุ้นงานประมูลผลิตไฟฟ้าอื่น ๆ ที่รัฐบาลจะทยอยประกาศออกมาในอนาคตด้วย
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นภายในปี 61 จำนวน 120 เมกะวัตต์ จากระดับ 7.5 เมกะวัตต์ในปัจจุบันที่มีโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียว แต่ในปีหน้าบริษัทจะพยายามเพิ่มจำนวนโรงไฟฟ้าให้เป็น 12 โรง
นายสมพล กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.86 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 192 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการรุกงานรับจ้างผลิต (OEM) ของลูกค้าในตลาดยุโรปมากขึ้น ซึ่งมีปริมาณงานที่เข้ามามาก และให้มาร์จิ้นสูง ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้น และทำให้แนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีก่อนที่ 26% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปีก่อน 10%
นอกจากนี้บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ราว 380 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมคำสั่งซื้อใหม่ที่เกิดจากการร่วมทุนกับพันธมิตรในอินเดียที่คาดว่าจะได้ออเดอร์กว่า 360 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ 100 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 60 ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปยัง 135 ประเทศทั่วโลก และมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 85% ของรายได้
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 59 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีนี้ โดยมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกำไรคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมัน และราคาพลาสติกที่ลดลง จะทำให้ต้นทุนปรับตัวลดลงตาม
นอกจากนี้ ยังมีการรับงาน OEM โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ค่อนข้างสูง ขณะที่บริษัทได้มีการขยายกำลังการผลิตในเดือนพ.ค.59 โดยเพิ่มเครื่องฉีด 650 ตัน 1 เครื่องซึ่งจะเพิ่มยอดกำลังผลิตสินค้ากลุ่มหน้ากระจังอีก 4.62% ในต้นเดือนสิงหาคม 59 ได้เพิ่มเครื่องฉีดอีก 2 เครื่อง ขนาด 1,000 ตัน และ 1,300 ตัน ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มหน้ากระจังอีก 8.82% และกลุ่มกันชนอีก 12.5%
อีกทั้งยังเตรียมขยายกำลังการผลิตของแผนกสีในเดือนกันยายน 2559 เป็นไลน์อัตโนมัติ จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 35% เพื่อรองรับงาน OEM ซึ่งคาดว่าจะรับมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากก่อนหน้ามีการใช้กำลังการผลิต 72.60% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนขายต่อหน่วยปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศอินเดีย ภายใต้ชื่อ ALP FPI PARTS PRIVATE LIMITED คาดว่าจะสามารถเปิดโรงงานได้ประมาณเดือนมกราคมปี 60 ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากเดินเครื่องผลิตจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยการร่วมลงทุนในครั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ในประเทศอินเดีย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเป็นผู้นำในการผลิต ขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ไปในประเทศอินเดีย สอดคล้องแผนการดำเนินธุรกิจใน 5 ปี ข้างหน้า เดินหน้าขยายสาขาใน 5 ประเทศทั่วโลก โดยสนใจประเทศตุรกี อินเดีย อเมริกา ฮังการี และเม็กซิโก