นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) กล่าวว่า บริษัทมีแผนนำสินทรัพย์ 2 โครงการ คือ The Jas วังหิน และ The Jas รามอินทรา จัดตั้งเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่าราว 1 พันล้านบาทภายในปีนี้ เพื่อระดมทุนไปใช้พัฒนาโครงการใหม่ อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดจะมีราว 2 ธุรกิจที่จะชัดเจนในไตรมาส 3/59
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ราว 539 ล้านบาท จากการเติบโตของสาขาเดิม และแผนการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดย IT Junction จะขยายเพิ่มอีก 8 สาขาต่อปี และคาดสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมกันทั้งสิ้น 52 สาขา จากครึ่งปีแรกมี 47 สาขา ซึ่งบริษัทได้ขยายสาขาไปยังพื้นที่อื่น ๆ มากขึ้นนอกเหนือจากห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เช่น ในห้างพันธ์ทิพย์ประตูน้ำ อีกทั้งก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อนำ IT Junction เข้าไปยังศูนย์การค้าขนาดใหญ่เพิ่มอีก
ส่วนศูนย์การค้าชุมชน ภายใต้ชื่อ The Jas คาดว่าจะขยายปีละ 1 โครงการ ซึ่งในสิ้นปีจะมีจำนวนทั้งสิ้น 3 โครงการ แบ่งเป็น The Jas วังหิน ซึ่งมีอัตราการเช่าแล้วราว 85% ,The Jas รามอินทรา มีอัตราการเช่าแล้วราว 88% และเตรียมเปิด โครงการ Jas Urban ศรีนครินทร์ ที่คาดจะเปิดโครงการได้ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ ซึ่งปัจจุบันเปิดพรีเซลและสามารถเปิดขายพื้นที่ไปได้มากกว่า 95% แล้ว
ขณะที่ตลาดชุมชน (J Market) สิ้นปีนี้จะมี 4 แห่ง สนับสนุนผลประกอบการทั้งปีให้เติบโตตามเป้าหมายได้สำเร็จ และครองความเป็นหนึ่งในผู้นำการบริหารพื้นที่ เช่า รายใหญ่ของประเทศ
นายสุพจน์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2/59 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 6.9 ล้านบาท ลดลง 12.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และงวด 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท ลดลง 36.8% จากระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนค่าเช่าและบริการที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ คาดว่า หลังจากโครงการ Jas Urban ศรีนครินทร์เสร็จสิ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทให้เติบโตอย่างโดดเด่น