นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (22-26 ส.ค.) ว่า จากการที่ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดจะปรับตัวขึ้นเกิน 50 เหรียญฯ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงจึงมีแนวโน้มที่จะมีการขายทำกำไรออกมาได้ ขณะที่ตลาดกำลังกำลังจับตามองการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในงานJackson Hole Policy Symposiumในวันศุกร์ที่ 26 ส.ค.นี้ ซึ่งจะมีความสำคัญต่อในเรื่องสัญญาณของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ รวมทั้งเรื่องค่าเงินเยนถ้าแข็งค่าขึ้นหรือลงไปต่ำกว่าระดับ100เยน/ดอลล่าร์ จะเป็นลบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ดังนั้น ในสัปดาห์หน้า จึงมองว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศน่าจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวออกข้าง (Side way) แต่ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นยังคงมีเงินทุนไหลเข้ามาอยู่ แต่ก็ยังแรงขายทำกำไรในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปสูงมากหลังรายงานงบไตรมาสที่ 2 ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้ายังมีแนวโน้มที่ตลาดจะมีการพักฐาน ซึ่งตลาดจะหยุดการพักฐานไปได้ก็ต่อเมื่อเห็นสัญญาณดัชนีผ่านระดับ 1,556 จุดไปได้
โดยมองกรอบดัชนีในสัปดาห์หน้าที่ 1,530-1,566 จุด และยังมองดัชนีในระยะกลางมีแนวโน้มที่จะไปถึงระดับ 1,600 จุดได้ โดยอาศัยปัจจัยบวกจากเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อออกมาดีและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศซึ่งมองว่าจาก
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้แนะนำให้ลดน้ำหนักในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปมากรวมถึงในตัวที่ไปต่อไม่ได้
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือ เรื่องการรายงาน จีดีพีไตรมาสที่ 2 ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 1.1% ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามคือตัวเลขยอดขายรถยนต์เดือน ก.ค. ที่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นจากฐานที่ลดลงของปีก่อนหน้าและการรายงานตัวเลขการส่งออก เดือน ก.ค.ของไทย ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวออกมาดีจะเป็นปัจจัยบวดต่อตลาดหุ้น
นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST เปิดเผยถึง ทิศทางเศรษฐกิจในต่างประเทศว่าแนะนำขายทำกำไรหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป และไทย และแนะนำซื้อตลาดหุ้นสหรัฐจากผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดี รวมถึงตลาดหุ้นเอเชียที่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะจีน เกาหลี และอินเดีย สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำยังแนะนำให้ สะสมกองทุน รวมอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานและหุ้นกู้เอกชนไทย
"มองว่าในสัปดาห์หน้าระดับราคาน้ำมันน่าจะอยู่ที่กรอบ 45-50 เหรียญฯ ขณะที่ราคาทองคำน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,320-1,380 เหรียญฯ ด้านค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมานั้นมองว่าเป็นการแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันซึ่งเป็นผลอันเนื่องจากเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง แต่มองว่าน่าจะเป็นการแข็งค่าในระยะสั้นเท่านั้น คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.5-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ"นายชาตรีกล่าว