โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) คาดผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังจะมีความโดดเด่น รับผลบวกจากส่วนแบ่งของโครงการร่วมลงทุน (JV) กับพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC) เข้ามาช่วยสนับสนุน ปักธงให้ AP เป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในระยะยาว เพราะเป็นบริษัทที่มีการเจาะกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อย และเป็นบริษัทที่มีศักยภาพจากโครงการร่วมทุนสูง ซึ่งจะเริ่มมีการรับรู้รายได้และบันทึกเป็นกำไรจากโครงการร่วมทุนในปี 59 เป็นปีแรก
ขณะที่ราคาหุ้น AP ยังถือว่าต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ส่วนใหญ่มีราคาปรับขึ้นไปจนเต็มมูลค่าแล้ว ประกอบกับ AP ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าจูงใจในการลงทุนด้วย
ล่าสุด หุ้น AP อยู่ที่ 7.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท (+3.47%) นับแต่ต้นปีราคาหุ้น AP ปรับตัวขึ้นราว 39% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นราว 19.6%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บัวหลวง ซื้อ 8 ทิสโก้ ซื้อ 7.60 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 9 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทยอยซื้อ 8 ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ซื้อ 9.10 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 10.20 ทรีนีตี้ ซื้อ 9.20 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ Trading Buy 8.20 คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 8.60
นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะนำ"ซื้อ"สำหรับหุ้น AP สำหรับการลงทุนระยะสั้น โดยปีนี้คาดว่า AP จะมีกำไรสุทธิที่ราว 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.62 พันล้านบาทในปีที่แล้ว โดยราคาหุ้นในปัจจุบันยังถือว่ามี Upside พอสมควร เนื่องจากมีระดับ P/E ที่ 8.5 เท่า โดยหากมองระดับ P/E ที่ 10 เท่า ราคาเหมาะสมจะอยู่ที่ 8.6 บาท
นอกจากนี้ ยังคาดว่า AP จะมีการจ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง ซึ่งปีนี้ก็คาดว่าจะได้อัตราเงินปันผลที่ระดับ 4.4%
"สำหรับ AP เรามองว่าอยู่ในช่วงกลางๆ ของกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยราคาที่ยังถือว่าต่ำอยู่เมื่อเทียบกับบริษัทฯอื่น ๆ ที่ถือว่าขึ้นไปเต็มมูลค่าแล้ว และ AP เองก็มีการปันผลอยู่แล้วในทุก ๆ ปี เราจึงมองว่าสามารถเป็นการลงทุนระยะสั้น ๆ ได้"นายรณกฤต กล่าว
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ แนะ"ซื้อ"หุ้น AP โดยมองว่าเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในระยะยาว เนื่องจากเป็นบริษัทที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อย และมีศักยภาพสูงจากโครงการร่วมลงทุนกับพันธมิตร ซึ่งจะเริ่มมีการรับรู้รายได้และบันทึกเป็นกำไรในปีนี้เป็นปีแรก อีกทั้งยังมีรายได้เพิ่มเติมจากการที่รับจ้างบริหารโครงการร่วมลงทุนด้วย ด้านราคาหุ้นยังถือว่าถูก และอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลก็อยู่ในระดับที่สูงราว 5.81% ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากและเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม
ทั้งนี้ ยังคงประมาณการรายได้ของ AP ในปี 59 อยู่ที่ 2.24 หมื่นล้านบาท จากที่ทาง AP ตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 2.37 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายรอโอน (Backlog) รวม ณ สิ้นไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 1.28 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 3.2 พันล้านบาทจากโครงการแนวราบ และอีก 9.6 พันล้านบาทจากโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นยอดขายรอโอนในปี 59 อีกราว 7.84 พันล้านบาท
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของ AP นั้นถือว่าอยู่ในระดับสูงหากเทียบกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ที่ราว 32% นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะ re-launch อีก 3 โครงการ ได้แก่ Vittorio (เดิมชื่อ The Gelerie rue de 39) คาดว่าจะสามารถขายและโอนได้ในปี 59 ราว 10% ของโครงการ, Aspire Ngamwongwan และ Aspire Rattanatibet II ที่คาดว่ายอดขายจะกลับมาคึกคักและจะเป็นโครงการที่พร้อมโอน โดยมีมูลค่ารวม 3 โครงการที่ 9.1 พันล้านบาท จะเป็นการสนับสนุนเป้าหมายรายได้ ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่าแนวโน้มผลประกอบการของ AP ในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะดีขึ้นจากโครงการร่วมลงทุน โดยตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/59 จะเริ่มมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดินให้กับโครงการร่วมลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ผลประกอบการของ AP และคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวเด่นที่สุดในไตรมาส 4/59 โดยมีตารางการส่งมอบของ 8 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ แบ่งเป็น 6 โครงการของ AP และอีก 2 โครงการจากโครงการร่วมลงทุน คือ Aspire สาทร-ท่าพระ และ Rhythm สุขุมวิท 36-38 นอกจากนี้ ยังมีโครงการ re-launch คือโครงการสุขุมวิท ซอย 39 Vittorio ที่จะเป็นโครงการพร้อมอยู่ โดยคาดจะหนุนทั้งยอดขายและรายได้ให้ไปถึงเป้าหมาย ดังนั้น คงประมาณการรายได้ที่ 2.41 หมื่นล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และทำให้กำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท เติบโต 10.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยแนะนำ Trading Buy