ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ THCOM ที่ "A-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 22, 2016 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ไทยคม (THCOM) ที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการธุรกิจสื่อสารดาวเทียมเพียงรายเดียวในประเทศไทยและผู้นำในตลาดดาวเทียมแบบบรอดแบนด์ที่ให้บริการครอบคลุมภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ สภาพคล่องที่เพียงพอ และความยืดหยุ่นทางการเงินที่ดีของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการจากกฎระเบียบที่ซับซ้อนในธุรกิจสื่อสารดาวเทียม ความเสี่ยงจากการถูกทดแทนโดยโครงข่ายการสื่อสารทางเลือกอื่น รวมทั้งค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนจำนวนมากและความเสี่ยงในการปล่อยดาวเทียมดวงใหม่

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการแข่งขันและรักษาผลการดำเนินงานที่ดีและมีเสถียรภาพเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งยังคาดหวังให้บริษัทบริหารจัดการกับประเด็นปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ทำให้สถานะการเงินของบริษัทแย่ลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการมีกระแสเงินสดและสภาพคล่องที่แข็งแกร่งขึ้น อันดับเครดิตอาจได้รับแรงกดดันให้ต้องปรับลดลงหากการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยในการพิจารณาอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งของบริษัท หรือหากผลการดำเนินงานของบริษัทแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้สภาพคล่องหรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลง

THCOM ก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2537 บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทโดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ณ เดือนเมษายน 2559 จำนวน 41.1% ของหุ้นทั้งหมด

ปัจจุบันบริษัทให้บริการการสื่อสารด้วยดาวเทียมแบบวงโคจรค้างฟ้าจำนวน 5 ดวง โดยเป็นดาวเทียมแบบทั่วไป 4 ดวง คือ ไทยคม 5, 6, 7 และ 8 และเป็นดาวเทียมแบบบรอดแบนด์ 1 ดวง คือ ไทยคม 4 หรือไอพีสตาร์ บริษัทยังลงทุนในธุรกิจที่ให้บริการด้านการสื่อสารในประเทศลาวและในธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตและสื่ออีกด้วย รายได้จากธุรกิจดาวเทียมคิดเป็นสัดส่วน 73% ของรายได้รวมของบริษัทสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ฐานลูกค้าดาวเทียมทั่วไปของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนฐานลูกค้าดาวเทียมไอพีสตาร์ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินเดีย มาเลเซีย และจีน

สถานะที่แข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทได้รับแรงหนุนจากตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมทั่วไปที่อยู่ในตำแหน่งที่มีศักยภาพสูงในการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่โดดเด่นในการให้บริการดาวเทียมบรอดแบนด์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การให้บริการสื่อสารด้วยดาวเทียมเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาได้ยากโดยมีปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ตำแหน่งวงโคจรที่มีจำนวนจำกัด ต้นทุนที่ค่อนข้างสูงที่ลูกค้าต้องแบกรับในกรณีเปลี่ยนย้ายบริการดาวเทียม เงินลงทุนที่สูง ตลอดจนความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีอวกาศ

บริษัทให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมทั่วไปแก่ผู้แพร่ภาพและกระจายเสียงทางโทรทัศน์และผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่อยู่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อุปสงค์การใช้บริการช่องสัญญาณดาวเทียมเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายความจุช่องรับส่งสัญญาณดาวเทียมโดยการปล่อยดาวเทียมดวงใหม่ 2 ดวง คือ ดาวเทียมไทยคม 6 และ 7 ในปี 2557 อีกทั้งยังได้ปล่อยดาวเทียมไทยคม 8 อีก 1 ดวงในปี 2559 เพื่อรองรับอุปสงค์ที่เติบโตขึ้น

ดาวเทียมดวงใหม่ทั้ง 3 ดวงดังกล่าวเพิ่มความจุช่องรับส่งสัญญาณจำนวน 71 ช่อง (Transponder Equivalent -- TPE) จากเดิมที่มีอยู่ 40 ช่องในปี 2556 ปัจจุบันมีการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม 5, 6 และ 7 รวม 64 ช่องจากความจุทั้งหมด 87 ช่อง หรือคิดเป็นอัตรา 73.5% ของความจุรวม นอกจากนี้ บริษัทยังขายช่องรับส่งสัญญาณดาวเทียมไทยคม 8 ล่วงหน้าได้ประมาณ 16% ของความจุรวม 24 ช่องของดาวเทียมไทยคม 8 ซึ่งพร้อมให้บริการในเดือนกรกฎาคม 2559 และคาดว่าอัตราการเช่าช่องรับส่งสัญญาณดาวเทียมไทยคม 8 จะเติบโตขึ้นอีกในอนาคต

เมื่อไม่นานมานี้บริษัทเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนย้ายของลูกค้าเนื่องจากลูกค้าบางส่วน เช่น ผู้ประกอบการรายเล็กที่ให้บริการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหรือผู้ให้บริการเคเบิ้ลทีวีได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแบบบอกรับสมาชิก 2 รายใหญ่ในประเทศไทยต้องหยุดให้บริการเนื่องจากมีผลการดำเนินงานขาดทุนจนทำให้ต้องยุติสัญญาเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมกับบริษัท

การสูญเสียลูกค้า 2 รายนี้ ประกอบกับการหยุดการแพร่ภาพออกอากาศของผู้ให้บริการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวีรายย่อยอื่นจะส่งผลกระทบต่ออัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมตลอดจนรายได้ของบริษัทได้ในระยะสั้น

อย่างไรก็ดี บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ให้บริการสื่อรายใหญ่รายหนึ่งในประเทศพม่าโดยบริษัทจะให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคมเพิ่มอีก 5 ช่องจากเดิมที่ใช้อยู่ 3 ช่อง ข้อตกลงดังกล่าวช่วยทดแทนสัญญาที่ถูกยกเลิกไปของลูกค้า 2 รายใหญ่ในประเทศไทยดังกล่าวได้บางส่วนและช่วยเพิ่มอัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียม

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทจะต้องทำการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ บริษัทวางแผนจะขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าให้เกิดการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมที่ยังว่างอยู่ให้มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องกฎระเบียบในกรณีที่การกำกับดูแลธุรกิจดาวเทียมในประเทศอาจจะกลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งในขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการหารือกับทางกระทรวงอยู่

บริษัทเป็นผู้ให้บริการดาวเทียมบรอดแบนด์ชั้นนำในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 98% อัตราการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์อยู่ที่ 57.4% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 โดยมีอัตราการใช้ดาวเทียมไอพีสตาร์เพิ่มขึ้นในประเทศอินเดียเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดต่างประเทศมีความรุนแรงและมีความเสี่ยงจากการถูกทดแทนโดยโครงข่ายการสื่อสารทางเลือกอื่น ๆ ขณะนี้บริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายในการให้บริการเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์ในประเทศออสเตรเลียและประเทศไทย ซึ่งสัญญาการให้บริการจะหมดอายุในปี 2560 บริษัทวางแผนจะหาลูกค้าใหม่จากกลุ่มผู้ประกอบการการสื่อสารโทรคมนาคมหรือโครงการภาครัฐ รวมถึงจะเพิ่มการให้บริการระหว่างการเดินทาง (Mobility Services) เช่น การให้บริการด้านความบันเทิงบนเครื่องบินให้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อทดแทนกลุ่มลูกค้าที่หมดสัญญา เป็นต้น

ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังรวมถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย โดยบริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ มีความยืดหยุ่นทางการเงินที่ดี และมีสภาพคล่องที่เพียงพอ ทั้งนี้ บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นจาก 4,692 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 5,111 ล้านบาทในปี 2558 และมีกระแสเงินสดสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ที่เติบโตเพิ่มขึ้นอีก 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 2,717 ล้านบาท สภาพคล่องของบริษัทก็มีเพียงพอโดยวัดจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่สูงกว่า 40% ตลอดช่วงปี 2557 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ในขณะที่เงินกู้รวมอยู่ที่ 11,393 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ประมาณ 38%

ในช่วงปี 2559-2561 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 11,000 ล้านบาทต่อปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนรายได้จะมาจากอัตราการใช้ดาวเทียมไทยคม 8 ที่สูงขึ้นเป็นสำคัญ คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่สูงกว่า 40% ถึงแม้จะได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนย้ายของลูกค้าและการปรับขึ้นค่าตอบแทนส่วนแบ่งผลประโยชน์ (Concession Fees) ขั้นสุดท้ายตามที่กำหนดไว้ก็ตาม ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ระดับสูงกว่า 40% ในช่วงปี 2559-2561 บริษัทวางแผนค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมไว้ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาทในช่วงปี 2559-2561 โดยเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะใช้ลงทุนในดาวเทียมไทยคม 8 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะใช้กระแสเงินสดภายในเป็นค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนเพื่อการลงทุน ซึ่งอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่เกิน 45% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะอ่อนตัวลงหากบริษัทมีการลงทุนในดาวเทียมดวงใหม่เพิ่มเติม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ