นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ผู้จัดการฝ่ายการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า คาดกำไรสุทธิช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิที่ 9,631.54 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังไม่มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันและโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 ขณะเดียวกันคาดว่าค่าการกลั่นในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ราว 4.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 2/59 ที่อยู่ในระดับ 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ต่ำกว่าช่วงไตรมาส 1/59 ที่อยู่ระดับ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับธุรกิจโรงกลั่นในช่วงครึ่งปีแรกมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนไปแล้ว ในช่วงครึ่งปีหลังกำลังการผลิตจะกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียง 100% จากช่วงครึ่งปีแรกใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 80% พร้อมกันนี้คาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยคาดสิ้นปีอาจจะเห็นการขยับตัวขึ้นไปที่ 44-46 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ขณะที่ธุรกิจอโรเมติกส์ช่วงที่ผ่านมามีอัตรากำลังผลิต 90% และคาดทั้งปีจะอยู่ระดับดังกล่าว ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกราคาขายค่อนข้างดีเนื่องจากในประเทศจีนและเกาหลีปิดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุง ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าอัตรากำไร (มาร์จิ้น) จะใกล้เคียงช่วงไตรมาส 2/59 หลังจากโรงงานต่าง ๆ เริ่มกลับมาเดินเครื่องผลิต แต่กำลังการผลิตใหม่จากประเทศจีนเลื่อนไปเปิดในปี 60
ส่วนธุรกิจโอเลฟินส์ มีอัตรากำลังผลิตครึ่งปีแรกที่ 86% โดยคาดครึ่งหลังอยู่ที่ระดับ 94% จากโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 สามารถกลับมาผลิตได้ตามปกติ และคาดราคาในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังภูมิภาคเอเซียนมากขึ้น โดยเน้นในกลุ่ม CLMV และตั้งเป้ายอดขายเม็ดพลาสติกปีนี้ 1.01 แสนตัน และอีก 4 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 2.6 แสนตัน ซึ่งจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 31% เนื่องจากความต้องการเม็ดพลาสติกยังมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายทิติพงษ์ กล่าวถึงแผนการลงทุนต่อจากนี้ว่า บริษัทมีแผนจะสร้างโครงการแนฟทาแครกเกอร์ คาดจะเริ่มก่อสร้างในปี 61 จากนั้นจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 63 คาดว่าจะช่วยสนับสนุนกำลังผลิตรวมเพิ่มเป็น 2.9 ล้านตัน โดยเพิ่มอีก 7 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 30% รวมถึงมีแผนลงทุนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยอยู่ในระหว่างจัดทำแผน คาดว่าแล้วเสร็จปลายเดือน ส.ค. นี้ และจะนำไปปฎิบัติจริง ซึ่งจะทำให้เห็นภาพผลประโยนช์ที่ได้รับชัดเจน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 10% ของผลประโยชน์ที่จะได้รับ
สำหรับโครงการลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายปีนี้ว่าจะมีการลงทุนในรูปแบบใด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำเงื่อนไขหลักการรับซื้อผลิตภัณฑ์ น่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/62
ส่วนกรณีความเสียหายของเหตุเพลิงไหม้ถังน้ำเสียของบริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด นั้น บริษัทมีประกันคุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากเครื่องจักรชำรุด ธุรกิจหยุดชะงักและประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอกไว้แล้ว คาดว่าจะได้รับเงินประกันราว 25 ล้านเหรียญสหรัฐจากบริษัทประกันในปีนี้ แบ่งเป็นทยอยรับรู้ไตรมาส 3-4/59 และบริษัทจะเจรจาขอรับเงินประกันเพิ่มขึ้นเป็น 36 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากจะมีค่าความเสียหายเพิ่มเติมในช่วงที่หยุดดำเนินการ