นายอัครวินทร์ บุญมงคลรัศมิ์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชี และการเงิน บมจ.ยูบิส (เอเชีย) (UBIS) กล่าวว่า บริษัทฯได้พิจารณาปรับลดรายได้ปีนี้ จากเดิมคาดเติบโตได้ราว 20% ลงมาเป็นจะทำได้มากกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 875.06 ล้านบาท เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อชะลอตัวลงหลังเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดี ขณะที่คาดกำไรสุทธิปีนี้น่าจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไร 145.15 ล้านบาทเป็นไปตามรายได้ ซึ่งบริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น โดยจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ให้อยู่ในระดับ 40% และอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10%
"จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ส่งผลต่อยอดคำสั่งซื้อชะลอตัวลง ทำให้เป้าหมายรายได้ที่เคยตั้งไว้ไม่น่าจะทำได้ถึงในระดับนั้น แต่ก็ยังจะสามารถเติบโตได้มากกว่าปีก่อน ขณะที่เราก็มีการลดราคาขายสินค้าลง ตามราคาวัตุดิบที่ลดลง เพื่อรักษามาร์เกตแชร์ โดยสินค้ากลุ่ม Sealing Compound จะอยู่ที่ 50% และ Lacquers ที่ 10-20%"นายอัครวินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Lacquers ซึ่งปัจจุบันได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาแล้วราว 1 ล้านบาทในช่วงทดลองตลาด จึงมองว่าแนวโน้มคำสั่งซื้อน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ยังมีความต้องการสินค้างานพิมพ์ค่อนข้างสูง ปัจจุบัน บริษัทฯใช้กำลังการผลิตราว 50% แบ่งเป็น Sealing Compound 10,000 ตัน และ Lacquers 8,000 ตัน ยังสามารถรองรับคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งบริษัทเน้นขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศ เช่น ยุโรป และอเมริกาใต้ เป็นต้น จากปัจุบันส่งออกสินค้าไปขายใน 20 ประเทศ
บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 2-3 ปีจากนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 80% และในประเทศ 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 61:39 อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดต่างประเทศมีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจีน จากที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเครื่องจักรในจีนเพื่อรับงานว่าจ้างผลิตสินค้าและผลิตเพื่อจำหน่าย มีสัดส่วนรายได้ดังกล่าวราว 32-33% คาดว่าในอนาคตน่าจะเห็นการเติบโตได้อีกมากตามการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน
นายอัครวินทร์ กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรที่ประเทศสิงค์โปร ในการดำเนินธุรกิจด้านหมึกพิมพ์ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 3/59 ซึ่งหากเกิดการร่วมทุนขึ้นจริงจะส่งผลดีต่อบริษัทในแง่ของวัตถุดิบที่ยังขาดแคลนในการทำผลิตภัณฑ์ใหม่
สำหรับบริษัท แฟมิลี คอร์ปอเรชั่น ผู้ประกอบธุรกิจผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนพลาสติกที่ UBIS ถือหุ้นในสัดส่วน 40% คาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ในช่วงปลายปี 59 เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นไปตามแผนการดำเนินงานเดิม