นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาซีฟา (ASEFA) มั่นใจว่าผลการดำเนินงานปี 59 ยังเติบโตต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.ค.59 บริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 1,828 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากงานผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตจำหน่าย 60% ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อ 20% และงานบริการ 20% โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 60-65% ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปี 60 นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนความคืบหน้าการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดใน 10 จังหวัดหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ครบทั้งหมดภายในปีนี้
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 3-6 เดือนนี้ ทั้งงานภาครัฐ และเอกชน มูลค่ารวมราว 2,500 ล้านบาท คาดจะได้รับงานมากกว่า 600-700 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเข้ามาเสริมงานในมือปีนี้ และจะมีการรับรู้รายได้ในปีหน้า
ขณะที่มองแนวโน้มครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากในช่วงไตรมาส 3/59 เข้าสู่ช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ ที่จะมีการส่งมอบงานได้มากขึ้น ตามทิศทางของอุตสาหกรรมที่มีความต้องการไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสารศูนย์ข้อมูล Data Center ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตและบริษัทเคยมีผลงานมาแล้วมากมาย ,
ขณะที่กลุ่มธุรกิจลงทุนโครงการพื้นฐานของประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้าในกทม.และปริมณฑลและคาดว่าจะมีการขยายไปยังต่างจังหวัดอีกนั้น ปัจจุบันบริษัทได้รับงานรถไฟฟ้าสายสีแดงบางส่วนเพิ่มต่อจากสายสีม่วง สีน้ำเงินและสายสีเขียว รวมทั้ง แผนการพัฒนาและนำสายไฟลงใต้ดินใน กทม. และจังหวัดใหญ่ ,กลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งของรัฐบาล และเอกชน รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทฯ ยังมีการรับงานและมีการประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และกลุ่มพัฒนาระบบสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นายไพบูลย์ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนการลงทุนและพัฒนาธุรกิจและพันธมิตรใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ที่บริษัทฯมีความพร้อมและเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างโอกาสเติบโตให้แก่บริษัทฯในอนาคต และสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเบื้องต้นมีความสนใจเข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ในการสร้างโรงงานผลิต Switchboard ในเมียนมาและกัมพูชา คาดว่าการขยายธุรกิจในต่างประเทศน่าจะเห็นความชัดเจนได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า