นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด (XO) กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่าน่าจะทำได้ต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากการย้ายโรงงานแห่งใหม่มาที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง มีความล่าช้า ซึ่งน่าจะสามารถเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปลายไตรมาส 4/59 จากเดิมคาดว่าจะเริ่มผลิตในไตรมาส 3/59
ทั้งนี้ การย้ายโรงงานล่าช้าทำให้ไตรมาส 3/59 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทขอยกเลิกการส่งเสริมการลงทุนสำหรับโรงงานที่นิคมแหลมฉบังตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ราว 8 ล้านบาท และในไตรมาส 4/59 อีก 4 ล้านบาท ส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิทั้งปีน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 11.48%
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า เนื่องจากโรงงานเก่ายังสามารถผลิตสินค้าได้ทันตามกำหนด และหากโรงงงานใหม่แล้วเสร็จก็จะสามารถผลิตสินค้าตามออเดอร์ที่เข้ามาได้เพิ่มขึ้นมาก โดยโรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรืออยู่ประมาณ 1.4 หมื่นตันต่อ 1 กะ คิดเป็นยอดขายราว 1,000 ล้านบาท/ปี และสามารถผลิตได้ 2 กะ ทำให้จากนี้บริษัทจะสามารถผลิตสินค้าได้ทันตามความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาค่อนข้างมาก และยังช่วยลดการสูญเสียในการผลิตสินค้า เนื่องจากมีเครื่องจักรที่ทันสมัย ใช้แรงงานคนน้อยลง อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังจัดเก็บสินค้า
นายจิตติพร กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 747.53 ล้านบาท เป็นไปตามคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้ารายได้หลักของบริษัทที่มีอัตรากำไรค่อนข้างดี
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกไปยังยุโรปราว 69% และที่เหลือเป็นตลาดจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเพิ่มสัดส่วนส่งออกในกลุ่มนี้มากขึ้น และลดสัดส่วนในยุโรปลง โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะมีสัดส่วนส่งออกไปยังยุโรปเหลือ 50% โดยยังมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่าย และเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เพื่อขยายตลาด รวมทั้งนโยบายของภาครัฐบาลในการประชาสัมพันธ์ครัวไทยสู่ครัวโลก เป็นอีกแรงสนับสนุนความนิยมอาหารในต่างประเทศ โดยบริษัทฯมีสินค้าใหม่ที่ออกจำหน่ายในปีนี้ ได้แก่ ซอสศรีราชามาโย ,ซอลศรีราชาอีกหลากหลายรสชาติ เป็นต้น
นายจิตติพร กล่าวถึงแผนการเข้าซื้อกิจการธุรกิจอาหารในประเทศจำนวน 2 ราย คาดว่าน่าจะสรุปดีลได้ในปี 60 เพื่อเข้ามาต่อยอดกับธุรกิจหลักให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยบริษัทถือว่ามีความพร้อมอย่างมาก จากปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.3 เท่า และยังมีกำไรจากการดำเนินงาน