นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ช ทวี (CHO) กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการระบบขนส่งมวลชนรางเบาที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นธุรกิจที่เข้าร่วมโดยส่วนตัวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดประกอบการเสนอหน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมนำเสนอขออนุมัติจากครม. คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้กลางปี 60 คาดแล้วเสร็จในปลายปี 62
ทั้งนี้ โครงการนี้ไม่ต้องรอเงินงบประมาณจากรัฐบาลแต่จะเป็นการระดมเงินลงทุนโดยภาคเอกชนนักธุรกิจในท้องถิ่น และมีการระดมทุนเบื้องต้นได้แล้ว 200 ล้านบาท ถ้าเริ่มลงมือก่อสร้างก็สามารถระดมทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ได้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่ง มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง จำกัด (KKTT) ซึ่งผลการทำประชาวิจารณ์จากภาคประชาชนมีเสียงเห็นด้วยถึง 82%
สำหรับทิศทางผลประกอบการของ CHO นั้น นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทมั่นใจรายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และจะมีอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5% แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุน 8.75 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีปริมาณงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ราว 586 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังราว 310 ล้านบาท ขณะเดียวกันเตรียมเซ็นสัญญารับงานใหม่อีกกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมด
“เรามีปริมาณงานในมือจำนวนมาก รอทยอยส่งมอบชิ้นงาน และรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยคาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตรากำไรสุทธิปีนี้จะขึ้นมาที่ไม่ต่ำกว่า 5% เนื่องจากงานโดยปกติแล้วจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 7% แต่ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทฯได้รับผลกระทบจากการชะลอรับงานอื่นๆ เพื่อที่จะรองรับงานรถเมล์ NGV ทำให้รายได้งานใหม่ๆยังไม่เข้ามาแต่จะเริ่มมีรายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง"นายสุรเดช กล่าว
ส่วนกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วงครึ่งของปี 59 บริษัทยังคงแผนการรักษาฐานลูกค้าเดิม และเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่เพื่อเพิ่มฐานรายได้ให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น และภายในสิ้นปีนี้เตรียมเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงรถใหญ่ให้บริการ 24 ชั่วโมงเน้นให้บริการครบวงจรแบบ one-stop service แห่งแรกที่จังหวัดชลบุรี และวางแผนงานเตรียมเปิดเพิ่มอีกจำนวน 7 ศูนย์ ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศภายในปี 62 ซึ่งจะผลักดันสัดส่วนรายได้จากบริการให้เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 10%