โบรกเกอร์เชียร์ "ซื้อ"หุ้นบมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) หลังมองกำไรในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตดีไปจนถึงปี 60 ตามร้าน 7-11 ผ่านการจำหน่ายเครื่องดื่ม ชา และกาแฟ รวมทั้งสินค้าใหม่ในกลุ่มเบเกอรี่ พร้อมกับการขยายสินค้าในตลาดจีน และตลาด CLMV อีกทั้งยังควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี หนุนอัตรากำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 9.1% ในไตรมาส 2/59
ขณะที่หุ้น TACC เพิ่งอยู่ใน Stage แรกของการขึ้น มีแนวโน้มจะแรลลี่ขึ้นอีก และ PEG จะเทียบเท่ากับหุ้นค้าปลีกอย่าง BJC ,CPALL ,CBG และ BEAUTY ที่ธุรกิจมีพัฒนาการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงแรก และหนุนให้ราคาหุ้นแรลลี่ขึ้นแรง
หุ้น TACC ปิดตลาดอยู่ที่ 9.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+3.30%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 9.50 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อเก็งกำไร 10.30 บัวหลวง ซื้อ 12.30
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ"หุ้น TACC เมื่อราคาอ่อนตัว ให้ราคาเป้าหมายที่ 10.30 บาท หลังมอง upside เหลือไม่มากนัก แต่ทิศทางของบริษัทยังมีกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท เติบโตราว 46% จากปีก่อน และในปีต่อ ๆ ไปยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นการขยายตัวตามจำนวนสาขาร้าน 7-11 ขณะเดียวกันยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง และด้วยสัดส่วนรายได้ที่มาจาก ร้าน 7-11 ถึง 80% นั้น ทำให้ต้องระมัดระวังหากร้าน 7-11 มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการจำหน่ายสินค้าของบริษัท ก็อาจทำให้บริษัทได้รับผลกระทบได้
"ปัจจุบันราคาก็ถือว่าขึ้นมามากพอสมควรแล้ว แต่หากมองถึงแนวโน้มการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง ก็ยังถือว่าเข้าลงทุนได้ แต่ตอนนี้เราคงบอกว่ารอราคาอ่อนตัวหน่อยแล้วเข้าซื้อจะดีกว่า"นายภาดล กล่าว
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TACC มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 ที่ระดับ 27 ล้านบาท ถือเป็นกำไรสูงสุดใหม่จากหลายปัจจัยหนุนการเติบโต ทั้งยอดขายกาแฟโถกด 3 ที่บริษัทเพิ่งเป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับร้าน 7-11, การเติบโตของร้าน All Cafe ของ 7-11 ที่บริษัทเป็นซัพพลายเออร์ผลิตภัณฑ์ประเภทชา (ชานม ชาเขียว ชามะนาว) ให้ทั้งหมด และการเติบโตของตลาดกัมพูชา ทำให้รายได้รวมเติบโต 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 4.9% จากไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ ด้วยการควบคุมต้นและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังสามารถรักษาระดับความสามารถทำกำไรไว้ได้ดีตามคาด ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 19.9% จาก 20.4% ในช่วงไตรมาส 1/59 และ 21% ในช่วงไตรมาส 2/58 ทำให้มีอัตรากำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 9.1% เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในไตรมาส 2/58 และ 8.4% ในไตรมาส 1/59 ถือว่ามีพัฒนาการในการเพิ่มความสามารถทำกำไรที่น่าประทับใจ
ขณะที่แนวโน้มผลกำไรในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มเติบโตดีไปจนถึงปี 60 แม้บริษัทจะปรับลดเป้าการติดตั้งเครื่องกดเครื่องดื่มร้อนแบบอัตโนมัติในปีนี้ จากการล่าช้าเนื่องจากต้องยื่นเรื่องไปยังกรมสรรพสามิตในทุก ๆ สาขาที่เข้าไปติดตั้ง แต่ถูกชดเชยได้จากรายได้จากการขายสินค้า Sanrio ที่จะเริ่มวางขายในเดือน ก.ย. เป็นต้นไป รวมถึงการเติบโตของ All Cafe ที่ดีกว่าคาด
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท เติบโต 30.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 43% ของประมาณการกำไรทั้งปี และแนวโน้มกำไรยังดีต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง จึงคงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 119 ล้านบาท หรือเติบโต 75% จากปีก่อน และคาดกำไรสุทธิปี 60 จะเติบโตต่อเนื่อง 15.2% มาที่ระดับ 137 ล้านบาท
จากประมาณการกำไรดังกล่าวยังถือว่ามี Upside จากสินค้าใหม่ ๆ ที่จะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้าที่พัฒนาร่วมกับร้าน 7-11 และชาเขียว Zenya รสชาติใหม่ที่จะเริ่มวางขายในกัมพูชาช่วงปลายปี 59 รวมถึงการบุกตลาดส่งออกเครื่องดื่มผลไม้ เช่น รสทุเรียน รสมะม่วง ไปยังตลาดจีน ซึ่งเหล่านี้ยังไม่ได้นับรวมในประมาณการ
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง มองว่าราคาหุ้น TACC เพิ่งอยู่ใน Stage แรกของการขึ้น โดยมีแนวโน้มจะแรลลี่ขึ้นอีก และ PEG จะเทียบเท่ากับหุ้นค้าปลีกอย่าง บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC),บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ,บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) และบมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ที่ธุรกิจมีพัฒนาการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงแรก และหนุนให้ราคาหุ้นมีการแรลลี่ขึ้นแรง
ปัจจัยที่สนับสนุนต่อการเติบโตมาจากโอกาสโตทางธุรกิจกับร้าน 7-11 ที่มีมากกว่า 9,000 แห่งทั่วประเทศ ผ่านการจำหน่ายเครื่องดื่ม ชา กาแฟ และเบเกอรี่ รวมทั้งการรุกตลาดเครื่องสำอางไปกับลิขสิทธิ์ Sanrio ผ่านสาขา 7-11 อีกทั้งยังได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจข้างเคียง (Adjacent Category) โดยจะเริ่มขายโดนัทญี่ปุ่นใน 7-11 ปลายเดือนก.ย. นี้ ตั้งเป้ายอดขายประมาณ 50 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกรณีที่บริษัทได้สิทธิการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ Sanrio (เครื่องเขียน, น้ำดื่ม, เครื่องสำอาง) เช่น Hello Kitty โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือน ก.ย.นี้เช่นกัน คาดว่าจะสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยคาดการเติบโตสินค้าเครื่องดื่ม ในร้าน 7-11 ประเภทเครื่องดื่มจากเครื่อง Cold Dispenser ได้แก่ ชาเย็น กาแฟเย็น คาดมีโอกาสที่จะโตได้ปีละ 5% ตามการขยายตัวของร้าน 7-11 ส่วนกาแฟเย็นลาเต้นั้น คาดจะเติบโตปีละ 10-15% โดยเพิ่งจะเพิ่มจุดจำหน่ายเป็น 5,000 แห่งเมื่อต้นปี ขณะที่มุมกาแฟสด All Cafe เติบโตสูงมาก ปัจจุบันมีประมาณ 3,000 จุด จากต้นปีที่มีประมาณ 2,000 จุด และคาดว่าจะมีการขยายตัวปีละ 1,000 จุด
นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการเปลี่ยนเครื่อง Cold Dispenser เป็นแบบเดียวกับร้านสะดวกซื้อในสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ แทนการผสมแล้วชง ลงเครื่อง Dispenser แบบปัจจุบัน ซึ่งระบบอัตโนมัติจะช่วยลดการสูญเสีย จากการเทเครื่องดื่มทิ้งเวลาขายไม่หมดใน 1 วัน และคาดมาร์จิ้นจะเพิ่มได้อีกอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่บริษัทได้เริ่มติดตั้งเครื่องกดเครื่องดื่มร้อนทั้งกาแฟ ช็อกโกแลต และชาเขียวนม แทนการแกะซอง 3 in 1 ชงในร้าน 7-11 ราว 200 เครื่อง โดยตั้งเป้าปีนี้ 500 เครื่อง และเพิ่มอีก 1,000 เครื่องในปีหน้า คาดว่าบริษัทจะทยอยเปลี่ยนซุ้มชงแบบเดิมมาเป็นเครื่องอัตโนมัติได้ราว 500 สาขา/ปี ซึ่งคาดว่าจะทยอยติดตั้งไปจนครบทุกสาขาของร้าน 7-11 ที่มีเกือบ 9,000 แห่งทั่วประเทศ
สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมชาเขียวยี่ห้อ Zenya ที่ส่งออกไปยังกัมพูชา และสิงคโปร์ ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในกัมพูชา โดยมียอดขายปี 58 ประมาณ 65 ล้านบาท และปีนี้คาดยอดขายแตะ 100 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีแผนการขยายตลาดในกัมพูชาเพิ่มเติม และยังมีการวางแผนที่จะรุกตลาด CLMV อื่นอีก นอกจากนั้น ยังเตรียมเซ็นสัญญากับผู้กระจายสินค้าในประเทศจีนในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อเริ่มขายน้ำทุเรียนและน้ำมะม่วง ผ่านช่องทาง E-Commerce ในจีน คาดสินค้าชุดแรกจะส่งไปในไตรมาส 4/59
ทั้งนี้ TACC ยังมีธุรกิจการขายสินค้าในตลาดจีนผ่านความร่วมมือทางการค้ากับกลุ่ม อาลีบาบา โดยเน้นสินค้า น้ำทุเรียน, น้ำมะม่วง และสินค้าอื่นภายใต้แบรนด์ SAWASDEE ซึ่งมองว่าศักยภาพในการเติบโตของกำไรปี 58-62 จะสูงเฉลี่ยต่อปีถึง 40%