นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ รอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในวันนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการมองถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวต่อเนื่อง โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ราคาได้ลงมาต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯก็มีทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากัน โดยดัชนีภาคการผลิตของ ISM ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด โดยมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50 มาอยู่ที่ 49.4 ขณะที่ตัวเลขสวัสดิการการว่างงานของสหรัฐฯออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ ดังนั้นนักลงทุนจึงยังไม่มั่นใจว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ จึงต้องรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรศุกร์นี้ก่อน
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยจะเห็นได้ว่า Fund Flow เริ่มไหลออกจากภูมิภาค ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ Fund Flow ยังไหลเข้ามา เนื่องจาก FTSE ได้มีการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย ซึ่งเราก็คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามา 956 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นตลาดบ้านเราจึงน่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาดภูมิภาค
พร้อมให้นแนวรับ 1,538 ถัดไป 1,525-1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,545-1,548 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 ก.ย.59) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,419.30 จุด เพิ่มขึ้น 18.42 จุด (+0.10%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,227.21 จุด เพิ่มขึ้น 13.99 จุด (+0.27%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,170.86 จุด ลดลง 0.09 จุด (0.00%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 23.06 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 5.81 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 5.33 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 14.48 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 1.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 9.04 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 4.05 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 ก.ย.59) 1,539.71 จุด ลดลง 8.73 จุด (-0.56%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 459.32 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 ก.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 ก.ย.59) ปิดที่ 43.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.54 ดอลลาร์ หรือ 3.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 ก.ย.59) ที่ 5.75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.59/61 ตลาดรอจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯคืนนี้
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายในการประชุมกับผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสภาธุรกิจตลาดทุน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ให้ ตลท.และ ก.ล.ต. ร่วมกันผลักดันให้เกิดกองทุนรวมจากภาคเอกชนเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลายด้านของรัฐบาล เนื่องจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์) ที่กระทรวงการคลังมีเป้าระดมเงิน 1 แสนล้านบาท ยังไม่เพียงพอกับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นอีกมาก
- ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนข.ได้สรุปโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยจะแบ่งการลงทุนเป็น 3 ระยะ โดยจะดำเนินการในช่วง 12 ปี หรือตั้งแต่ปี 2559-2570 ขณะที่โครงการลงทุนในแผนมีทั้งสิ้น 35 โครงการ วงเงิน 6 แสนล้านบาท
- แนวโน้มการท่องเที่ยวช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเดินทางมา 9.01 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้ 4.68 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% โดยตลาดที่สร้างรายได้สูงสุดตามลำดับ ได้แก่ จีน 1.33 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% รัสเซีย 2.93 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% มาเลเซีย 2.45 หมื่น ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
- รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนปีงบประมาณ 2559 ของหน่วยงานที่ได้งบเกิน 1,000 ล้านบาท ทั้งหมด 36 หน่วยงาน วงเงินรวมประมาณ 3.5 แสนล้านบาท พบว่าจนถึงวันที่ 26 ส.ค. 2559 สามารถเบิกจ่ายได้แล้วประมาณ 2.49 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 71.18% ของงบลงทุนที่ได้จัดสรรทั้งหมด
- ธปท.ผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ พบดัชนี BSI ในเดือน ส.ค.ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 47.8 เหตุผู้ประกอบการกังวลสัญญาณการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจใน-นอกประเทศ ขณะที่ดัชนี BSI ในอนาคตขยับขึ้นเป็นเดือนที่สองมาอยู่ที่ระดับ 54.7 ส่วนใหญ่ภาคธุรกิจมองเริ่มเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปี
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานฐานะดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายในเดือน ก.ค. 2559 ว่า มีการไหลออกสุทธิ 2,534 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8.8 หมื่นล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนเปิดตลาดช่วงเช้าวันที่ 1 ก.ย. ที่ระดับ 34.62 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการไหลออกที่เพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย. ที่ไหลออกสุทธิ 435 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
- บีโอไอเผย 7 เดือนจีนขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้ว 2.1 หมื่นล้านบาท ลุ้นทั้งปีอาจแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นอันดับ 1 ลงทุนไทย เหตุยังสนใจลงทุนไทยอีกเพียบ
*หุ้นเด่นวันนี้
- TOP (ยูโอบี เคย์เฮียน) ได้อานิสงค์จากค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเราคาดค่าการกลั่นจะฟื้นตัวขึ้นในช่วง 4 Q/59 จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและฤดูหนาวในช่วงปลายปี
- AAV (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 8.50 บาท จุดเด่นได้แก่ 1) EBITDA margin อยู่ที่ 35% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่ง 2) Forward PE อยู่เพียง 12.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินต้นทุนต่ำในเอเชียแปซิฟิกที่ 18 เท่า 3) แนวโน้มต้นทุนน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำหนุนอัตราการทำกำไร 4) ปริมาณผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศที่เติบโตแข็งแกร่งจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว และ 5) Synergy benefit กับกลุ่มคิงเพาเวอร์
- PIMO (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 2.9 บาท ปี 59 คาดกำไรโต 75.9%YoY และโตต่อ 20%YoY ในปี 60 จากออเดอร์ของลูกค้ารายใหญ่ที่กลับมาเพิ่มขึ้น และแผนรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเตรียมซื้อเทคโนโลยีผลิตมอเตอร์ชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพและมาร์จิ้นสูง คาดเริ่มผลิตช่วง 4Q59 และมี Upside 28.3% และคาดให้ Div.Yield 2.1%
- WICE (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 5.25 บาท คาดกำไรปี 59-61 โตเฉลี่ยปีละ 40.2% จาก Synergy หลังควบรวมกับ SEL สยายปีกธุรกิจคลังสินค้าและขนส่งข้ามประเทศ พร้อมทั้งมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะรองรับแผนขยายธุรกิจโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน และมี Upside 45% และคาดให้ Div. Yield 4.2%
- KBANK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 232 บาท กำไรของ KBANK ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1H16 เราคาดกำไร 2H16 ดีกว่าครึ่งปีแรก 5% จากการตั้งสำรองลดลงเพราะสถานการณ์ NPL ดีขึ้นเรื่อยๆ เราปรับกำไรปีนี้ขึ้น 8.6% เป็น 3.86 หมื่นล้านบาท -2.2% Y-Y ต่ำกว่ากลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ที่ +1.6% Y-Y แต่กำไรปีหน้าโตแรงกว่ากลุ่ม คาด +12.8% Y-Y (กลุ่มฯ +8.4% Y-Y) ประมาณการของเรามี upside ถ้าดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้นและตั้งสำรองน้อยกว่าคาด
- ARROW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้าปีหน้า 22.30 บาท กำไรปี 2016-17 เติบโตดี +14% Y-Y ปีนี้และ +12% Y-Y ปีหน้า จาก Economy of scales ที่ใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 75-80% และรายได้จากงานรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าของบ.ลูก (ARROW ถือ 65%) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากรถไฟฟ้าสีต่างๆ สุวรรณภูมิเฟส 2 และงานของกลุ่มสื่อสาร หุ้นมี PE เพียง 13 เท่าในปีหน้า ต่ำสุดในกลุ่ม