โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.มาลี กรุ๊ป (MALEE) จากแนวโน้มยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศเติบโตต่อเนื่อง ตามกระแสความนิยมการดูแลสุขภาพ รวมถึงจากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิต โดยสินค้าได้รับการตอบรับเป็นที่นิยมอย่างมากในอเมริกา โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว และยอดขายเติบโตต่อเนื่องจากการส่งออกไปในกลุ่ม AEC ขณะที่ทิศทางการดำเนินกลยุทธ์ในอนาคต MALEE จะเร่งสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจใหม่ผ่านรูปแบบ JV เพื่อต่อยอดการเติบโตของรายได้ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
โบรกฯ คำแนะนำ ราคาพื้นฐาน(บาท) บล.กรุงศรี ซื้อ 98 บล.ทิสโก้ ซื้อ 87.50 บล.โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 79.50
นายสุนทร ทองทิพย์ นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"หุ้น MALEE โดยปรับราคาเป้าหมายเป็น 98 บาท/หุ้น จากแนวโน้มยอดขายที่ดีขึ้นทั้งในประเทศและในตลาดส่งออก และอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ดีขึ้น เห็นได้จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 อัตรากำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี ที่ 10% จากการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น (อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น) และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลดลง แม้แบ่งกำไรจากการร่วมทุนในฟิลิปปินส์ยังคงต่ำมากอยู่ที่ 0.25 ล้านบาท แต่คาดว่าน่าจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ หลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มในร้านสะดวกซื้อ
ทั้งนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของยอดขายในปี 59-61 เป็น 24% จากเดิม 22% จากรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้นทั้งจากตลาดในประเทศและในตลาดส่งออก โดยยอดขายในประเทศน่าจะเติบโตราว 5-10% จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวและกระแสความนิยมการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดส่งออกน้ำมะพร้าว คิดเป็นสัดส่วน 70% ของการส่งออก จะเติบโตราว 30% ตามตลาดน้ำมะพร้าวโลก
ขณะที่ในปี 59-60 คาดว่า EBITDA margin จะฟื้นตัวได้ดีจากต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่ลดลง หลังอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น MALEE สามารถส่งผ่านต้นทุนมะพร้าวที่เพิ่มขึ้นต่อไปให้กับผู้บริโภคได้ด้วยการปรับสัญญาระยะสั้น ซึ่งต้นทุนน่าจะลดลงจากการเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวในครึ่งปีหลัง และยังเชื่อมั่นในแผนการเพิ่มปริมาณการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเซีย
ส่วนการร่วมทุนในฟิลิปปินส์จะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตในระยะกลาง ซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรสุทธิโตได้ 30% เป็น 725 ล้านบาท ในปี 62
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ยอดขายส่งออกเติบโตอย่างชัดเจนทั้งการรับจ้างผลิต และแบรนด์ MALEE โดยขณะนี้ยังคงประมาณการเดิม แต่มีแนวโน้มปรับประมาณการเพิ่มขึ้นจากกำไรครึ่งปีแรกที่มากกว่า ตามยอดขายทั้งในประเทศและยอดขายส่งออกที่เพิ่มขึ้น
ท้งนี้ คาดการณ์กำไรในปี 59-60 เพิ่มขึ้น 33% และ 21% ตามลำดับ ขณะที่รายได้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% จากอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมาเป็น 58% จาก 49% ในปีก่อน จากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มลูกค้ารับจ้างผลิต (CM) ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก จากสินค้าที่ได้รับการตอบรับเป็นที่นิยมมากขึ้นในอเมริกา โดยเฉพาะน้ำมะพร้าว และคาดยอดขายเติบโตต่อเนื่องจากการส่งออกไปในกลุ่ม AEC และเริ่มทำการตลาดกับพันธมิตรในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้บริษัทน่าจะมีรายได้จากฟิลิปปินส์ราว 300 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของรายได้ รวม
“เรายังคงแนะนำ “ซื้อ" จากแนวโน้มการส่งออกที่ยังมี upside เพิ่มขึ้นจากแบรนด์ของ MALEE เองที่เริ่มเข้าตลาดฟิลิปปินส์และการรับจ้างผลิตที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจุบันมีอัตรากำไรเติบโตดีที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่ม จากกระแสความใส่ใจดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น"นักวิเคราะห์ กล่าว
ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายแตะ 10, 000 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า เติบโตเฉลี่ย 23% จากการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 50% จากเดิมอยู่ที่ 37% และมียอดขายในประเทศหลักๆ คือ กัมพูชา 27% ฟิ ลิปปินส์ 26% จีน 17% ลาว 4% พม่า 3% และอื่นๆ 23%
นอกจากนี้ กลุ่มสินค้ารับจ้างผลิต (CMG สัดส่วน 54% ของรายได้) มีการเติบโตโดดเด่น จากอานิสงส์กระแสความนิยมบริโภคน้ำมะพร้าวทำให้ยอดส่งออกน้ำมะพร้าวเร่งตัวสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มสินค้าแบรนด์ (Brand สัดส่วน 46% ของรายได้) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเน้นจับตลาดคนรักสุขภาพในประเทศ ตามอุตสาหกรรมที่โตเฉลี่ย 7% ต่อปี ควบคู่ไปกับการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจีน
พร้อมกันนี้ บริษัทฯได้ส่งกาแฟภายใต้แบรนด์ Kratos ไปขายในฟิลิปปินส์ผ่าน Monde Malee Beverage Corporation (MMBC) ในรูปแบบ JV ช่วงไตรมาส 2/59 โดยตั้งเป้ายอดขายปี 59 จะเติบโตราว 250-300 ล้านบาท และคาดยอดขายเพิ่มสู่ระดับ 1,000 ล้านบาทในปี 61 จากโอกาสการเติบโตของตลาดกาแฟในฟิลิปปินส์ที่ใหญ่กว่าไทย
กลยุทธ์บริษัทฯในอนาคตจะเร่งสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจใหม่ผ่านรูปแบบ JV เพื่อต่อยอดการเติบโตของรายได้ในระยะยาว ล่าสุด บริษัทฯอยู่ระหว่างการเข้าร่วมทุนกับ MEGA ก่อตั้งบริษัทฯ Mega Malee (Mega 51%, Malee 49%) เพื่อพัฒนาเครื่องดื่มสุขภาพ คาดเริ่มวางขายในไตรมาส 2/60
อย่างไรก็ตาม บล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมองเชิงบวกต่อกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในระยะยาว คาดแนวโน้มการเติบโตจะมาจากการต่อยอดธุรกิจในรูปแบบ JV ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ Kratos ที่เริ่มขายดีในฟิลิปปินส์ และ Mega Malee ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ของเครื่องดื่มสุขภาพในอนาคต ตลอดจนการส่งออกที่มี แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะน้ำมะพร้าวที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้น ประเมินผลการดำเนินงานจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 3/59 จากต้นทุนมะพร้าวที่สูงขึ้น ประกอบกับการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจกาแฟในมาเลเซีย (MMBC) ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/59 จากการเข้าสู่ช่วง High Season รับเทศกาล และต้นทุนมะพร้าวที่ถูกลงจากการกลับมาใช้วัตถุดิบในประเทศ