นายธานนิทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 2 ราย เพื่อเข้ามาถือหุ้นในบริษัทย่อย คือ บริษัท เมฆา-เอส จำกัด เพื่อเสริมศักยภาพและความชำนาญในการต่อยอดงานรับเหมาติดตั้งระบบในอนาคต คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของพันธมิตรที่เข้ามาถือหุ้นภายในต้นปี 60
บริษัทย่อยดังกล่าวช่วงแรกจะเน้นการรับเหมาโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินในกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ในโครงการดังกล่าวจะเริ่มเข้าประมูลงานได้ในโครงการเฟสที่ 3 คือ โครงการรัชดาภิเษก-อโศก และโครงการรัชดาภิเษก-พระราม 9 ที่คาดว่าจะเปิดประมูลในช่วงปี 60
สำหรับรายได้ของธุรกิจรับเหมางานติดตั้งระบบในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 150 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% ของรายได้รวม และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 300-400 ล้านบาทในปี 60 โดยจะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% ของรายได้รวม แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้คาดหวังจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรับเหมาฯเป็นรายได้หลัก เนื่องจากขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่บริษัทได้รับ อีกทั้งเป็นงานที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นที่น้อยกว่า 10% ถือว่าน้อยกว่าการขายท่อเหล็กที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นราว 30% แต่ก็เป็นงานที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทในจำนวนมากได้ในอนาคต
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทได้มีการยื่นเสนอขายท่อในงานโครงการมูลค่ารวม 340-350 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าหวังจะได้รับการพิจารณาสั่งซื้อท่อในโครงการที่ยื่นประมูลราว 70% ของมุลค่างานที่เสนอราคาไป ซึ่งจะทยอยประกาศผลตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3/59 เป็นต้นไป โดยงานที่บริษัทอยู่ระหว่างการเสนอราคาขายท่อ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว-เหนือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการโรงพยาบาลพะเยา เป็นต้น
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ยังมั่นใจว่ารายได้และกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) โดยในส่วนของรายได้ยังมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.4 พันล้านบาท หลังจากที่ครึ่งปีแรกมีรายได้รวมอยู่ที่ 625.54 ล้านบาท โดยในปีนี้รายได้จะเข้ามามากที่สุดในช่วงไตรมาส 4/59 ซึ่งมีการล่าช้าจากปกติที่รายได้จะเข้ามามากที่สุดในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี เนื่องจากปีนี้ระยะเวลาการส่งมอบงานที่การขยายออกไปมากกว่าช่วงปกติ และมีบางงานที่เป็นงานขายและบริษัทได้รับรายได้จากการขายเข้ามาทันที โดยส่วนใหญ่จะเป็นงานของภาคเอกชนที่เริ่มเห็นการกลับมาลงทุนมากขึ้นในช่วงกลาง-ปลายไตรมาส 3/59 โดยเฉพาะการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ
ทั้งนี้ การที่มีปริมาณการงานมากขึ้นในช่วงดังกล่าว ทำให้ปริมาณการขายท่อของบริษัทเพิ่มขึ้นตาม และมีงานรอส่งมอบกระจุกตัวในช่วงไตรมาส 4/59 ค่อนข้างมาก ส่งผลต่อรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเป็นไตรมาสที่มีรายได้สูงที่สุด
นอกจากนี้ บริษัทยังมีมุลค่างานในมือ (Backlog) อีก 220 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายไดในช่วงที่เหลือของปีนี้ทั้งหมด ขณะที่อัตรากำไรสุทิในปีนี้บริษัทคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 20% หลังจากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 20.25% มากกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 20.06% ซึ่งเป็นผลมาจากปริมารการขายเพิ่มขึ้น และการควบคุมต้นทุนเหล็กที่เป็นวัตถุดิบหลักอย่างประสิทธิภาพ โดยบริษัทได้มีการซื้อวัตถุดิบเหล็กเก็บไว้ก่อนที่ราคาเหล็กจะปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเหล็กของบริษัทอยู่ในระดับที่เหมาะสม