ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ยังมั่นใจสินเชื่อรายใหญ่ในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 4-6% และสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เติบโต 5-7% หลังจากครึ่งปีแรกสายงานธุรกิจยังเติบโตได้ตามเป้า โดยสนเชื่อลูกค้ารายใหญ่เติบโต 9% สวนทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วน SME เติบโตแล้ว 2% ซึ่งอุตสาหกรรมเด่นครึ่งปีแรกของธนาคาร ได้แก่ รับเหมาก่อสร้าง ค้าวัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ และฮาร์ดแวร์
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ KBANK ยังมั่นใจว่าเป้าหมายสินเชื่อรายใหญ่ในปีนี้ขยายตัวอยู่ที่ 4-6% หลังจากในครึ่งปีแรกขยายตัวแล้ว 9% ซึ่งมีสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 5.12 แสนล้านบาท โดยแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อรายใหญ่ในครึ่งปีหลังยังเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนเพิ่มของธุรกิจขนาดใหญ่ และการเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ธุรกิจรายใหญ่ยังมีความต้องการสินเชื่อ
และด้านสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อรายใหญ่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากและยังไม่น่ากังวล แต่ธนาคารจะพยายามควบคุม NPL ของสินเชื่อรายใหญ่ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2%
ส่วนสินเชื่อ SME ยังมั่นใจว่าการเติบโตยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5-7% แม้ว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านจะเติบโตเพียง 2% โดยมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 6.28 แสนล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังธนาคารจะมุ่งเน้นการดูแลลูกค้า SME ในทุกห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้ธุรกิจ SME มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น โดยธนาคารจะเน้นใน 3 ธุรกิจหลัก คือ การบริโภค อุตสาหกรรมหนัก และโครงสร้างพื้นฐาน ให้ได้รับเงินทุน ทั้งแหล่งเงินกู้ระยะยาวและเงินทุนหมุนเวียน และช่วยเหลือในการเป็นที่ปรึกษาการบริหารการเงินและการเดินบัญชี เพื่อช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีสภาพคล่องที่ดีและมีความสามารถในการกูยืมเพิ่มมากขึ้น
แต่ในส่วนของลูกค้าที่ได้รีบผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่ปี 57 ถึงปัจจุบันนั้น มียอดสินเชื่อที่เข้ามาตรการช่วยเหลืออยู่ในปัจจุบันที่ 2.4 หมื่นล้านบาท จากในช่วงเริ่มต้นที่ 1.49 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่เห็นการปรับตัวลดลงและสะท้อนว่าธุรกิจ SME เริ่มรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ดีขึ้น
ปัจจุบันยังมองว่าผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงชะลอการลงทุน และเริ่มลดหนี้ให้เหลือน้อยมากที่สุด เพื่อควบคุมต้นทุนและสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน และด้าน NPL ของสินเชื่อเอสเอ็มอีในปีนี้จะควบคุมให้อยู่ในระดับ 4-5%
สำหรับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารที่มีการระดมทุนในตลาดทุนนั้น ในช่วงที่เหลือของปีนี้ธนาคารยังมีงานที่ปรึกษาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) อีก 1-2 รายเป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ทั้งหมด รวมถึงมีงานที่ปรึกษาการเสนอขาย IPO ของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริทรัพย์ (REIT) 2 กอง ซึ่งเป็นสินทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานและโรงงานหรือคลังสินค้าให้เช่า มูลค่ากองรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท
นายพัชร กล่าวว่า ธนาคารยังมองว่าแม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,500 จุด ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการเสนอขาย IPO เพราะธนาคารมองว่านักลงทุนต่างให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนมากทั้งนักลงทุนในไทยและต่างประเทศ รวมถึงกระแสเงินทุนที่ยังมีทิศทางไหลเข้า ซึ่งจะช่วยให้ผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งการปรับตัวลงแรงของดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้นเป็นแค่ผลกระทบระยะสั้น และไม่มีผลต่อการเลื่อนเสนอขาย IPO ของลูกค้าธนาคาร
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีงานที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ (M&A) ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 3-6 ดีล เป็นกลุ่มธุรกิจประเภทลีสซิ่ง รับเหมาก่อสร้าง และโลจิสติกส์ รวมทั้งการออกหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอีก 10 บริษัท
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกธนาคารมีงานที่ปรึกษาการเสนอขาย IPO และออกกอง REIT มูลค่ากว่า 8.08 พันล้านบาท โดยยังครองความเป็นอันดับ 1 ในการเสนอขาย IPO และกอง REIT