นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บมจ.โฮม พอตเทอรี่ (HPT) เปิดเผยว่า บริษัทฯวางเป้าหมายรายได้ และกำไรสุทธิในปี 63 จะเติบโตเท่าตัวจากปัจจุบัน โดยจะมีกำลังการผลิตที่ 6 ล้านชิ้นต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 3 ล้านชิ้นต่อปี และตั้งเป้าหมายที่จะรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ไม่ต่ำกว่า 9%
โดยบริษัทฯจะเน้นทำการตลาดและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศ และในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หลังจากได้จัดตั้งบริษัท Central Hospitality ซึ่งจัดตั้งเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรามิกไฟน์ไชน่าแบรนด์ PE’TYE และสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้และอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหาร
ขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันของ HPT แบ่งเป็น ตลาดต่างประเทศ 98% โดยรายได้หลักมาจากประเทศ อเมริกา รองลงมา คือ ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสัดส่วนรายได้จากตลาดกลุ่มประเทศ AEC อยู่ที่ 2% ทั้งนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ในประเทศและกลุ่มประเทศ AEC เพิ่มขึ้นเป็น 4% ภายในปี 60 เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยในเดือนต.ค. นี้จะไปเข้าร่วมออกแสดงสินค้า เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์เซรามิกไฟน์ไชน่าแบรนด์ PE’TYE ที่กัมพูชา ซึ่งถือเป็นการเข้าไปศึกษาและขยายตลาดกัมพูชาเป็นครั้งแรก
"หลังจากนี้เราจะกลับมาเน้นตลาดในประเทศและ AEC มากขึ้น จากก่อนหน้านี้เราไปประเทศแถบอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ค่อนข้างมาก เนื่องจากประเทศในแถบ AEC มีศักยภาพมากขึ้นในการที่จะรับสินค้าแบบที่บริษัทฯเราผลิต และยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง"นางสาวนิจวรรณ กล่าว
นางสาวนิจวรรณ กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า รายได้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 15-25% โดยภาพรวมอุตสาหกรรมเซรามิกครึ่งปีหลังเชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ดี หลังบริษัทฯยังคงเดินหน้าปรับปรุงสายการผลิตสำหรับเตาเผาใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตอีก 20% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายของบริษัทฯให้เติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน
สำหรับคำสั่งซื้อสินค้าในต่างประเทศมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากทางฝั่งทวีปออสเตรเลีย ซึ่งมีการเติบโตของอุตสาหกรรมบริการและการท่องเที่ยว นอกจากนี้สัดส่วนสินค้าประเภทตกแต่งสี ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 59 สัดส่วนการผลิตสินค้าประเภทตกแต่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 58 ถึง เท่าตัว โดยสินค้าลักษณะดังกล่าวมีมูลค่าต่อหน่วยที่สูงขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) แตะ 40 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 90 วัน
ส่วนความคืบหน้าการปรับปรุงสายการผลิตสำหรับเตาเผาใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ รองรับออเดอร์ในอนาคต ขณะนี้บริษัทได้นำเตาเผาใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิตจริงแล้ว และยังคงปรับปรุงขั้นตอนการผลิตในส่วนอื่นๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายของบริษัทให้เติบโตได้อย่างแน่นอน
แนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากธุรกิจโรงแรมในประเทศได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจอาหารเติบโตได้ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 3 ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตาม