นายคมสัน อัตถพลพิทักษ์ ผู้จัดการอาวุโสฝายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) เปิดเผยว่า บริษัททำยอดขาย 8 เดือนแรกที่ 1.03 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 50% ของเป้าหมายทั้งปี 2.15 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากบริษัทจะมีการเปิดโครงการในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการใหม่ดังกล่าว แบ่งเป็นโครงการโครงการคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายในช่วงเดือน ก.ย.59 จำนวน 3 โครงการ เป็นโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง 2 โครงการและโครงการร่วมทุน 1 โครงการ และในไตรมาส 4/59 จะมีเปิดตัวคอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการ แบ่งเป็นโครงการร่วมทุน 2 โครงการ และโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง 2 โครงการ
ส่วนโครงการแนวราบระดับบนที่ใช้แบรนด์ใหม่จะมีมูลค่า 1.23 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะเปิดขายในไตรมาส 4/59
นายคมสัน กล่าวว่า บริษัทมองภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางการฟื้นตัวขึ้นตามดัชนีความเชื่อมั่นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยหากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำให้ลูกค้าเข้ามาซื้อโครงการเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เห็นได้จากโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่บริษัทได้เปิดตัวไปในช่วงเดือน ก.ค.เป็นโครงการระดับล่าง ราคาเริ่มต้น 900,000 บาท/ยูนิต คือ โครงการยูนิโอ สุขุมวิท 72 และโครงการยูนิโอ พระราม 2-ท่าข้าม มูลค่าโครงการรวม 2.4 พันล้านบาท สามารถทำยอดขายได้แล้ว 30% ตามเป้าหมาย ซี่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าลูกค้าเรยังมีความสนใจที่จะซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ค่อนข้างมาก
บริษัทยังเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการระดับล่างราคาเฉลี่ย 50,000 บาท/ตารางเมตรมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทจะหันมารุกตลาดระดับล่างเพิ่มขึ้น จากความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงของลูกค้าที่ทำให้บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้อย่างแน่นอนในอนาคต และมีอัตราการยกเลิกที่ต่ำกว่าโครงการระดับบนและระดับลักชัวรี่ เนื่องจากโครงการที่มีระดับราคาสูงนั้นลูกค้าส่วนหนึ่งจะเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไร
แต่อย่างไรก็ตามโครงการระดับในตลาดล่างหลายโครงการยังเผชิญกับปัญหาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูง แต่บริษัทไม่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีการตรวจสอบความพร้อมของลูกค้าโดยการทำ Pre-approve เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการขอสินเชื่อในอนาคต ซึ่งคาดว่าสัดส่วนโครงการระดับล่างในสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ของมูลค่าโครงการที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมด 4.75 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนต่ำกว่า 10%
นอกจากนี้บริษัทยังมองหาดอกาสในการเพิ่มรายได้ประจำเข้ามาเสริมในธุรกิจ ซึ่งเป็นรายได้ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ จากปัจจุบันที่บริษัทยังไม่มีสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้ โดยได้มีการศึกษาที่จะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส เพื่อมารองรับการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำในอนาคต แต่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนที่แน่นอนในเรื่องดังกล่าว
ด้านรายได้ของบริษัทในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.56 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5.48 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการโอนโครงการอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่มาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในครึ่งปีหลัง 8.4 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 2.85 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่จะมีโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น คือ โครงการไอดีโอ คิว จุฬา-สามย่าน เริ่มทยอยโอนเป็นครั้งแรก ซึ่งได้เริ่มโอนแล้วตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนนี้ ถือว่าเร็วกกว่ากำหนดเดิมที่จะโอนในไตรมาส 4/59 เล็กน้อย
แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะยังมีการรับรู้ขาดทุนจากบริษัทร่วมทุนเข้ามาในปีนี้ เพราะในปีนี้มีการโอนโครงการจากบริษัทร่วมทุนเข้ามาเพียง 1 โครงการ และยังโอนไม่ได้ทั้งหมดในปีนี้ ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนยังมีขาดทุนอยู่บ้าง แต่ในปี 60 จะมีโครงการจากบริษัทร่วมทุนที่สร้างเสร็จและพร้อมดอนในปีหน้าเพิ่มขึ้นอีก 4 โครงการ ซึ่งจะทำให้บริษัทร่วมทุนจะมีกำไรเป็นครั้งแรกในปี 60
นายคมสัน กล่าวว่า ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้บริษัทจะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุมูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมในช่วงเดือน ต.ค.นี้มูลค่า 2 พันล้านบาท อายุหุ้นกู้ 3 ปี แต่อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่จะต่ำกว่าหุ้นกู้ชุดเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี หลังจากบริษัทได้อันดับเครดิตหุ้นกู้จากทริสเรทติ้งเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ BBB