ทริสฯ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร GOLD เป็น “BBB+" จาก “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 8, 2016 14:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) เป็นระดับ “BBB+" จากเดิมที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโครงการบ้านจัดสรร ตลอดจนเงินที่ได้รับจากการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (Golden Ventures Leasehold Real Estate Investment Trust -- GVREIT) และฐานทุนที่ใหญ่ขึ้นจากการจัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 685.7 ล้านหุ้นที่ราคาเสนอขาย 7.25 บาทต่อหุ้นให้แก่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน

ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2559 บริษัทมี บมจ.ยูนิเวนเจอร์ (UV) เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 39.28% และมี บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 35.62% โดยผู้ถือหุ้นในลำดับสูงสุดของผู้ถือหุ้นทั้ง 2 รายดังกล่าวคือกลุ่มตระกูลสิริวัฒนภักดี

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงแบรนด์สินค้าที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย ฐานรายได้ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า และการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนความกังวลในระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้สอดคล้องกับประมาณการได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทควรรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ประมาณ 15% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เกินกว่า 60% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตได้

GOLD เน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรในระดับราคาปานกลาง สินค้าของบริษัทครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยมีราคาขายต่อยูนิตตั้งแต่ 2 ล้านบาทถึง 10 ล้านบาท โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทได้ขยายไปยังตลาดบ้านจัดสรรราคาสูงภายหลังจากที่บริษัทได้ซื้อหุ้นทั้งหมดใน บมจ. กรุงเทพบ้านและที่ดิน (KLAND) เมื่อปลายปี 2557

ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาจำนวน 22 โครงการซึ่งมีมูลค่าโครงการโดยรวม 39,000 ล้านบาท และมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) รวมทั้งสิ้น 16,000 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 60% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมดอยู่ในโครงการของ KLAND และที่เหลืออยู่ในโครงการของบริษัท

รายได้ของบริษัทเติบโตเป็น 4,058 ล้านบาทในปี 2557 และ 8,520 ล้านบาทในปี 2558 จากประมาณ 1,600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2556 รายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 5,201 ล้านบาทจาก 3,645 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2558 โดยรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 3,072 ล้านบาทในปี 2557 อยู่ที่ 7,305 ล้านบาทในปี 2558 และอยู่ที่ 4,697 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าซึ่งได้แก่อาคารสำนักงานและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์เท่ากับประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และรายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ในช่วง 10,000-14,000 ล้านบาทต่อปีเนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่จำนวนมากตามกลยุทธ์การเติบโต

อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 16%-17% ในช่วงปี 2558 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อัตรากำไรสุทธิปรับเป็นบวกที่ 8% ของรายได้ในช่วงปี 2557-2558 และที่ 11% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เนื่องจากภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง บริษัทยังมีความท้าทายที่จะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ประมาณ 15% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเอาไว้ให้ได้

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับดีขึ้นเป็น 23% ณ เดือนมิถุนายน 2559 จาก 59% ณ เดือนธันวาคม 2558 อัตราส่วนดังกล่าวในปัจจุบันต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากบริษัทมีการเพิ่มทุนจำนวน 4,971 ล้านบาทในเดือนมกราคม 2559 และมีการให้เช่าช่วงอาคารสำนักงาน Sathorn Square แก่ GVREIT ในเดือนมีนาคม 2559 ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนและการให้เช่าช่วงช่วยลดภาระในการกู้ยืมได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากแผนการขยายธุรกิจแล้ว คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้น โดยที่อัตราส่วนดังกล่าวควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 55%

กระแสเงินสดของบริษัทเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 20% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) จาก 8% ในปี 2558 และ 4% ในปี 2557 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 6 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 2-3 เท่าในช่วงปี 2557-2558 ภาระหนี้ที่ครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยตั๋วเงินจ่ายจำนวน 110 ล้านบาทและเงินกู้โครงการจำนวน 172 ล้านบาท ซึ่งจะมีวงเงินรองรับจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ เงินสดในมือจำนวน 890 ล้านบาท กระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาทต่อปี และวงเงินสินเชื่อซึ่งยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 6,800 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ