บล.เอเชีย เวลท์ คาด SET Index ปี 60 ทะลุ 1,700 จุด มองไทยได้อานิสงส์ ศก.เอเชียโตเร็วหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 8, 2016 15:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิชิต อัครทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ มองเป้าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปีนี้ที่ระดับ 1,600 จุดและปี 60 ที่ระดับ 1,700 จุด จากการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะเติบโต 30% ในปีนี้ และ 15% ในปีหน้า ประกอบกับเม็ดเงินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐจะเริ่มเข้ามาในช่วงที่เหลือของปีนี้และจะเห็นมากขึ้นในปี 60 ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนตลาดหุ้น แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า

"ในช่วงนี้ตลาดเป็นช่วงปรับฐาน คิดว่าไม่น่าลงไปมาก เพราะมีปัจจัยเรื่องการลงทุนภาครัฐเริ่มออกมาจะช่วยทำให้ภาวะเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้น เฟดก็ชะลอขึ้นดอกเบี้ย จึงมองว่า SETน่าจะไปถึง 1,600 จุด สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นปัจจัยระยะสั้นเป็นการปรับฐานของตลาด ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก็อาจจะขึ้น ธ.ค.หรือไปขึ้นต้นปีหน้า เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐไม่ค่อยดี"นายพิชิต กล่าว

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะยังเห็นเม็ดเงินต่างประเทศ(Fund Flow) เข้ามาต่อเนื่อง โดยเริ่มเข้ามาเมื่อกลางปีนี้ จนถึงวันนี้มีเม็ดเงินเข้ามาแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะมี Fund Flow เข้ามาอีกราว 1 แสนล้านบาท เพราะปัจจัยการเมืองของไทยชัดเจนว่าในปีหน้าจะมีการเลือกตั้ง

นายพิชิต กล่าวว่า ทศวรรษการลงทุนใหม่ตั้งแต่ปี 60 เอเชียจะเป็นเขตเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชียที่พัฒนาแล้ว ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจะเติบโตสูงสุดที่ 6.4% ในปี 60 และ 6.3% ในปี 61 นำโดย อินเดีย ที่คาดว่าจะเติบโตสูงกว่า 7% และจีน ที่คาดว่าจะเติบโตสูงกว่า 6% ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตรองลงมา คือ กลุ่ม ASEAN 5 ที่ IMF คาดว่าจะเติบโต 4.8% ในปี 60 และ 5.1% ในปี 61 นำโดยฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย

ทั้งนี้ เอเชียมีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากที่สุด โดยมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ต่ำ มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และมีอัตราการว่างงานต่ำ ทำให้สามารถใช้นโยบายการคลังซึ่งมีประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ยิ่งโตได้เร็วกว่า จึงเป็นทวีปที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้มากที่สุด ทั้งนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดการณ์ว่า ระหว่างปี 2010-2020 ประเทศในเอเชียจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่น้อยกว่า 8.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในด้านพลังงาน การสื่อสาร การขนส่ง และสาธารณูปโภค

นายพิชิต กล่าวว่า จากการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย และการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นของตลาดหุ้นไทย ทำให้ บล.เอเชียเวลท์ ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทย โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะเติบโตได้ดีในระดับ 3.5% และโตในระดับ 4.0% ในปี 60 ซึ่งสูงกว่าที่ IMF ประเมินไว้ที่ระดับ 3.0% และ 3.2% ในปี 59 และปี 60 ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนและใช้จ่ายของรัฐบาล การกลับมาขยายตัวของการบริโภคภาคครัวเรือนหลังจากภัยแล้งสิ้นสุดลง ความสงบมั่นคงภายในประเทศกลับคืนมา โดยที่ภาคเอกชนจะเริ่มกลับมาลงทุนหลังจากการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น แม้การส่งออกจะยังไม่ค่อยดีตามเศรษฐกิจโลกอยู่บ้างก็ตาม

ด้านการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 30.3% และในปี 60 ที่ระดับ 15% ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 59 กลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ธุรกิจการเกษตร บริการ ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค (ซึ่งรวมกันคิดเป็น 41% ของกำไรบจ.) ขยายตัวเข้มแข็งต่อเนื่อง ในขณะที่กลุ่มทรัพยากรและพลังงาน (ซึ่งรวมกันคิดเป็น 23% ของกำไรบจ.) เริ่มกลับมามีการขยายตัวหลังจากราคาน้ำมันฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุดของวัฏจักรรอบนี้ ในเดือน ก.พ. มาแล้ว กลุ่มการเงิน (ซึ่งรวมกันคิดเป็น 23% ของกำไรบจ.) ใกล้จะกลับมามีการขยายตัว แม้ว่ากลุ่มสื่อสาร (ซึ่งรวมกันคิดเป็น 13% ของกำไรบจ.) จะยังมีกำไรหดตัวเนื่องจากภาระการลงทุนอย่างหนักในธุรกิจโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ 4

นอกจากนี้ นายพิชิต เพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยระบุว่าจะเข้ามาบริหารจัดการสินทรัพย์ของ รฟท.ให้สามารถสร้างรายได้ให้รฟท.ในระยะยาว รวมทั้งช่วยผลักดันให้เกิดโครงการรถไฟทางคู่ ในช่วงระยะที่เข้ามาทำหน้าที่ระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการ รฟท.ในวันที่ 13 ก.ย.นี้ โดยจะมีการพิจารณาเรื่องการบริหารสินทรัพย์ และการเดินรถรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ที่รฟท.ต้องการเดินรถเองแทนการให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ