บมจ.ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น (DCORP) เจรจาพันธมิตรต่างประเทศใกล้ได้ข้อสรุปการเข้าร่วมทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตรวม 320 เมกะวัตต์ ที่บริษัทฯได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (MOU) เพื่อเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 40% ของบริษัทฯทั้ง 2 แห่ง ขณะที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมาโครงการได้ภายในเดือนนี้ และน่าจะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) เฟสแรกได้ภายในปี 60
พร้อมมั่นใจผลประกอบการปีนี้จะพลิกมีกำไรสุทธิ แม้ในช่วงครึ่งปีแรกยังขาดทุนสุทธิราว 8.79 ล้านบาท โดยบริษัทจะเน้นงานรับเหมาในโครงการประหยัดพลังงาน (ESCO) ให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นงานที่ให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ค่อนข้างดี ขณะที่เดินหน้าโครงการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ร่วมทุนกับจีน โดยมั่นใจว่าจะเดินเครื่องผลิตได้ในปลายปีนี้
นายอนิศ โอสถานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DCORP เปิดเผยว่า สำหรับธุรกิจด้านพลังงานนั้น ขณะนี้ขั้นตอนการตรวจสอบสถานะทางการเงิน ข้อกฎหมาย และด้านวิศวกรรมในการเข้าซื้อหุ้นในโซลาร์ฟาร์มฟิลิปปินส์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาผู้รับเหมาที่มาพร้อมโปรเจคไฟแนนซ์หลายราย คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาภายในเดือนนี้ ซึ่งจะก่อสร้างและเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในเฟสที่ 1 ได้ภายในปี 60
ขณะที่บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศที่สนใจเข้ามาร่วมทุนในโครงการดังกล่าวหลายราย ซึ่งเร็ว ๆ นี้น่าจะได้ข้อสรุปอย่างน้อย 1 รายที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการในเฟสแรก
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมร่มเกล้า (RKW) ในจังหวัดมุกดาหาร กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ยังเป็นไปตามแผนการก่อสร้างในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และคาดว่าจะสามารถ COD ได้อย่างช้าภายในไตรมาส 2/62
นายอนิศ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมั่นใจว่าผลประกอบการในปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ตามเป้าหมาย แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะยังมีผลขาดทุนอยู่ราว 8.79 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีรายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามา และมีค่าใช้จ่ายทางด้านที่ปรึกษาในการสร้างโอกาสในธุรกิจใหม่ด้านพลังงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ร่วมลงทุนกับ HAINAN YINGLI NEW ENERGY RESOURCES CO.,LTD จากจีน กำลังการผลิต 300 เมกะวัตต์/ปี ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 60% ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ แม้ว่าจะล่าช้าไปกว่ากำหนดเล็กน้อย แต่ยังคงมั่นใจว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ภายในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะมีรายได้จากขยายธุรกิจเกี่ยวกับการรับเหมางานโครงการเพื่อประหยัดพลังงาน ให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นธุรกิจที่ให้มาร์จิ้นค่อนข้างสูง คือ การเข้าไปปรับโครงสร้างด้านการประหยัดพลังงานในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เช่นปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ หรือ อุปกรณ์หลอดไฟ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า ซึ่งล่าสุดได้รับงานจากไอทีสแควร์ มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท ขณะที่ยังมีการเจรจาเพื่อรับงานอื่นในธุรกิจนี้อีกหลายราย
"เรายังมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะกลับมามีกำไร แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุนอยู่ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเราจะไปเน้นรับงาน ESCO ที่มีมาร์จิ้นค่อนข้างดี และปัจจุบันเริ่มมีผู้เข้ามาเจรจาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมเก่า ตึกเก่าหลาย ๆ แห่ง"นายอนิศ กล่าว
สำหรับการปรับเปลี่ยนผู้บริหารจากนายอภิเชฐ ปุสรี ที่ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมื่อวันที่ 6 ก.ย.59 และแต่งตั้งนายอนิศมารับตำแหน่งแทนนั้น นายอนิศ กล่าวว่า ข่าวลือที่ว่าบริษัทฯมีปัญหาหาภายในไม่เป็นความจริง แต่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งดังกล่าวเพื่อความเหมาะสมทางโครงสร้างธุรกิจตามแผน ซึ่งนายอภิเชฐ ก็จะยังคงทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัทที่จะดูแลทางด้านการหาแหล่งเงินทุนต่อไป
"เราได้คุยกันไว้ก่อนแล้วว่าหลังจากที่ใช้เวลาในการล้างบ้านเสร็จแล้ว เราจะมีการปรับตำแหน่งให้เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นตามที่เราแจ้งตลาดฯไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผู้บริหารทุกคนก็ไม่ได้หายไปไหนยังคงอยู่ทำงานทุกคน แต่ด้วยลักษณะของธุรกิจที่จะเน้นพลังงานมากขึ้น ผมจึงขึ้นเป็นซีอีโอด้วย connection ทางธุรกิจนี้"นายอนิศ กล่าว