โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) หลังมองเป็น growth play จากยอดขายแข็งแกร่งทั้งใน และต่างประเทศ ผนวกกับแนวโน้มเป็นบวกของการลงทุนในอังกฤษเพื่อขยายฐานธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังในตลาดโลก เชื่อว่าจะช่วยหนุนกำไรในปี 60-61 ประกอบกับ ยังมีแนวโน้มที่สดใสของธุรกิจใหม่ Cash Van เพื่อกระจายสินค้าที่ช่วยผลักดันให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรก ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งทำให้เป็นที่น่าสนใจในการลงทุน
ล่าสุด ราคาหุ้น CBG อยู่ที่ 59.25 บาท ลดลง 0.50 บาท (-0.84%) นับแต่ต้นปีราคาหุ้น CBG ปรับขึ้นราว 71% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 12%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) กรุงศรี ซื้อ 85 เออีซี ซื้อ 85 กสิกรไทย ถือ 66
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น"ซื้อ"หุ้น CBG ให้ราคาเป้าหมายที่ 85 บาท จากเดิม 45 บาท โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิในปี 60-61 อีก 18-28% มาที่ 2.2 พันล้านบาท และ 2.8 พันล้านบาท ตามลำดับ หลัง จากที่รวมการลงทุนในอังกฤษ และยอดขายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นเข้ามาไว้ในประมาณการ
ทั้งนี้ การลงทุนเข้าถือหุ้น 51% ใน Intercarabao Limited (ICUK) ซึ่งเป็นบริษัทดำเนินกิจกรรมทางการตลาด การขายและจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้สินค้า"คาราบาว"ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อขยายฐานธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังใน ตลาดโลก การลงทุนครั้งนี้นับเป็นจังหวะที่ดี จากการที่ยอดขายในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอนาคตตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ยังสดใสตามผลการศึกษาของ Euromonitor ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 11% ในช่วงปี 58-63
"เราคาดว่ายอดขายที่อังกฤษจะสร้างรายได้ประมาณ 1.5 พันล้านบาท หรือ 13% ของรายได้ CBG ในปี 60 ภายใต้ สมมติฐานส่วนแบ่งตลาดที่ 0.8% จากมูลค่าตลาดที่ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะขยับเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 59 เป็น 41% ในปี 60 เนื่องจากเราคาดว่าธุรกิจที่อังกฤษจะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 73% เรายังได้ปรับเพิ่มประมาณ การอัตราการเติบโตของยอดขายในประเทศในปี 60 ขึ้นจาก 3% เป็น 5% จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นด้วย"บล.กรุงศรี ระบุ
นอกจากนั้น CBG ยังมีแผนจะลงทุน 2.6 พันล้านบาทเพิ่มกำลังการผลิตกระป๋องและขวดแก้วขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 830 ล้านกระป๋อง และ 1,300 ล้านขวดในปี 60 ขณะที่ CBG นับเป็นหุ้น growth play จากยอดขายที่เร่งตัวขึ้นที่อังกฤษและใน ภูมิภาค บวกกับสินค้าใหม่ประเภทกาแฟสำเร็จรูปและสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ที่ขายใน Cash Van จะเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด การ rerate ได้ในระยะสั้น
โดยปรับมุมมองมาเป็นบวกมากขึ้นกับ CBG หลังจากที่กำไรในไตรมาส 2/59 ทำสถิติสูงสุดใหม่ตามคาดที่ 393 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน โดยรายได้เพิ่มขึ้น 15% จากงวดปีก่อนเป็น 2.3 พันล้านบาท จากยอดขายที่แข็งแกร่งทั้งตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก ส่วนแบ่งตลาดของ CBG ในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเพิ่มเป็น 23% จาก 22.2% ในไตรมาส 1/59 นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นก็อยู่ในระดับเกือบสูงสุดที่ 37.2% จากกลยุทธ์การใช้ Cash Van ซึ่งช่วยลดต้นทุนการตลาดลงได้
การเติบโตของยอดขายในประเทศจาก"คาราบาวแดง"เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ Start Plus เพิ่มขึ้น 235% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 33% จาก 34% ในไตรมาสแรก นำโดยยอดขายในกัมพูชา ที่เติบโตถึง 33% และการฟื้นตัวของยอดขายในอัฟกานิสถานและเยเมน ทั้งนี้ ยอดขายที่อังกฤษในช่วงไตรมาส 2/59 เติบโตถึง 160% จากไตรมาสก่อนเป็น 26 ล้านบาท
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เออีซี แนะนำ"ซื้อ"หุ้น CBG ให้ราคาเป้าหมายที่ 85 บาท โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 59-61 จะเติบโตปีละ 24.3% จากแผนรุกตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่อังกฤษ และแนวโน้มสดใสของธุรกิจใหม่ Cash Van ขณะที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงแรงซึ่งไม่เกี่ยวกับพื้นฐานธุรกิจ จนทำให้ราคาปัจจุบันมี Upside กว่า 42%
ทั้งนี้ ปรับเพิ่มประมาณการตั้งแต่ปี 59 เพื่อสะท้อนโครงสร้างของงบลงทุนใหม่ บวกกับโอกาสประสบความสำเร็จจากแผนขยายตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ยุโรป และยังมีแนวโน้มสดใสของโมเดลธุรกิจใหม่ จากขายสินค้าอุปโภคบริโภคผ่าน Cash Van ซึ่งสิ้นปี 59 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 29 ศูนย์กระจายสินค้า จากปัจจุบัน 25 ศูนย์กระจายสินค้า และปี 60 ตั้งเป้าเพิ่มสินค้าใหม่เป็น 100 สินค้า จากปัจจุบันที่ 5 สินค้า
ขณะที่นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย แนะนำให้ "ถือ"ให้ราคาเป้าหมาย 66 บาท เนื่อง แนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการยังไม่มากนักในปีนี้ แต่ในปี 60-61 ยังมีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างมาก โดยคาดว่ากำไรสุทธิ จะเติบโต 15% และ 28% ตามลำดับ ซึ่งจะมาจากผลิตภัณฑ์ที่จะมีการเติบโตในปีหน้า ประกอบกับมีกำลังการผลิตใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่ม เป็นเท่าตัว
"ปีนี้ CBG ยังเติบโตไม่มากนัก และด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว รวมถึงภาพตลาดหุ้นไทยไม่ดีนัก เราจึงแนะนำให้ รอราคาปรับลดลงมาที่แนวรับ 50 บาทก่อน แต่อย่างไรก็ตามมองระยะยาวยังดีอยู่เพราะปี 60-61 จะเติบโตได้อย่างชัดเจน"นาย ประกิต กล่าว