นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) กล่าวว่า บริษัทชะลอการลงทุนสร้างโรงงานให้เช่าและคลังสินค้าเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้งบลงทุนทั้งปีนี้ปรับลดลงเหลือ 2.1 พันล้านบาท จากแผนเดิมคาดว่าจะใช้งบลงทุนทั้งปีราว 4 พันล้านบาท เนื่องจากอัตราการเช่า (Occupancy Rate) ในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าเป้าหมาย
ขณะนี้ Occupancy Rate ของโรงงานให้เช่าอยู่ที่ระดับกว่า 50% จากที่จุดต่ำสุดที่ 40% ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ส่วนคลังสินค้ายังมี Occupancy Rate ราว 70% เนื่องจากมีนักลงทุนจีนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาขยายฐานการผลิตที่ไทย และบริษัทรายใหญ่ที่เป็นลูกค้าเดิม แต่ลูกค้า SME ยังชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทจะรอ Occupancy Rate ของโรงงานให้เช่าเพิ่มเป็น 70% ก่อนจึงจะเริ่มลงทุนอีกครั้ง
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า รายได้และกำไรทั้งปี 59 คงต่ำกว่าปีที่แล้ว เพราะการขายสินทรัพย์พลาดเป้าหมายที่วางแผนไว้ในระดับ 3 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 59 ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากจะมีการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TICON Freehold and Leasehold Real Estate Investment Trust) หรือ TREIT จำนวน 1.4 พันล้านบาทในไตรมาส 4/59
"แนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น ตอนนี้ยอดเช่าโรงงานดีขึ้น คนเช่าน่าจะดีขึ้น จีนย้ายฐานมาไทย หลังการผลิตโลกไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยเพราะเซินเจิ้น หรือที่อื่นในจีนต้นทุนการผลิตก็แพง เขาเข้ามาเพราะไทยอยู่ในตลาดอาเซียน เป็นเออีซี เขามาผลิตเพื่อส่งออกในอาเซียน"นายวีรพันธ์ กล่าว
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้ TICON ยังไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อที่ดินเปล่าเข้ามาเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันมีที่ดินอยู่แล้วราว 2 พันไร่กระจายอยู่ในจ.ชลบุรี ระยอง แหลมฉบัง และ ย่านบางนา-ตราด ทั้งนี้ คาดว่าหากโครงการ Eastern Economic Corridor ที่รัฐบาลสนับสนุนจะเกิดขึ้นได้เร็วก็จะเป็นโอกาสของบริษัทเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ TICON มองหาโอกาสลงทุนในต่างประเทศ โดยขณะนี้กำลังเจรจาพันธมิตรในเวียดนามเพื่อร่วมลงทุนโรงงานให้เช่าและคลังสินค้า มีเจรจา 2 ราย อยู่ตอนเหนือ และตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยคาดว่าสรุปการเจรจาในปลายปีนี้ 1 ราย
ส่วนในอินโดนีเซีย ปัจจุบัน TICON ได้ร่วมเข้าไปร่วมลงทุนถือหุ้น 25% กลุ่มมิตซุย 25% และพันธมิตรท้องถิ่นถือ 50% โดยระหว่างนี้ก็มองหาที่ดินเพื่อพัฒนา คาดว่าน่าจะเริ่มมีการลงทุนปีหน้า
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมีแนวคิดในการนำทรัพย์สินทั้งในและนอกกลุ่มไทคอนทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมในกองทุน TREIT อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมองโอกาสในการแปลงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มไทคอนทั้งกองทุน TFUND TLOGIS และ TGROWTH เข้ามาในกอง TREIT ด้วย หากรัฐบาลขยายเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนในการแปลงสภาพกองรีทที่จะหมดอายุสิ้นปี 59 ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งหากดำเนินการสำเร็จจะทำให้ขนาดกอง TREIT มีขนาดสินทรัพย์แตะระดับ 30,000 ล้านบาททันที ซึ่งจะส่งผลให้กอง TREIT สามารถก้าวขึ้นมาแข่งขันระดับภูมิภาค ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
"การควบรวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ 3 กอง คือ TFUND, TLOGIS และ TGROWTH มารวมกันที่กอง TREIT เพื่อให้มีขนาดกองทุนใหญ่ขึ้นจากที่มีพื้นที่เช่า 3.7 แสนตร.ม.เพิ่มเป็น 4.4 แสนตร.ม. เชื่อว่าจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น และการระดมทุนไปซื้อสินทรัพย์ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามก็ต้องติดตามว่าทางการจะขยายเวลาการลดภาษีเฉพาะการควบรวมกองทุนออกไปปีหน้าหรือไม่ หลังจากที่หมดอายุสิ้นปีนี้ เพราะตามขั้นตอนการควบรวมจะต้องมีกระบวนการถึง 8-9 เดือน ซึ่งปัจจุบันเงินปันผลที่ได้จากกอง TREIT จะเสียภาษีเงินปันผล 20% ในกรณีบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีการจ่ายปันผล 4 ครั้งต่อปี อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 7%ต่อปี
ขณะที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 3 กองคือ TFUND, TLOGIS และ TGROWTH เสียภาษีเงินปันผล 10% และมีอัตราจ่ายเงินปันผล 6%"นายวีรพันธ์ กล่าว
นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด (TMAN) ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ TREIT กล่าวว่า ดีลสำคัญของ TMAN ที่กำลังจะเกิดขึ้นในข่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ กองทรัสต์ TREIT จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ในทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าจาก TICON และ TPARK ซึ่งเป็นโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า รวมจำนวน 28 ยูนิต พื้นที่ทั้งหมด 69,021 ตร.ม. มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 1,443.20 ล้านบาท โดย TREIT จะใช้เงินลงทุนจากการออกหุ้นกู้เพื่อเสนอขายแก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ในวงเงินไม่เกิน 1,470 ล้านบาท ระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
หลังการลงทุนสินทรัพย์ครั้งนี้อีก 1.4 พันล้านบาทจะทำให้กอง TREIT จ่ายเงินปันผลได้เพิ่มอีก 10% เป็นประมาณ 7.7%ต่อปี