นายรังสรรค์ นนันทกาวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี.เฮาส์ซิ่ง (NCH) กล่าวว่า บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมตามแผนงานในปีนี้ คือ โครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี ปากเกร็ด-ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 680 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 128 ยูนิต ขนาด 135-212 ตารางเมตร บนพื้นที่โครงการทั้งหมดกว่า 24 ไร่ ราคาขายเริ่มต้น 4.2-8.7 ล้านบาท
จุดเด่นของโครงการอยู่ที่ทำเลที่แมารถเข้าออกได้ 4 ทาง ได้แก่ ถนนชัยพฤกษ์ ถนนราชพฤกษ์ เชื่อมต่อบางบีวทอง 345 ทางด่วนแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอกตะวันตก อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไปถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางซื่อ-บางไหญท เพื่อนเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหม่แห่งที่ 2 ไนปีนี้ หลังจากเปิดโครงการบ้านเดี่ยว ฌาม สนามกอล์ฟธัญญะ-วงแหวนลำลูกกา มูลค่าโครงการกว่า 900 ล้านบาท ไปเมื่อครึ่งปีแรก ซึ่งปัจจุบันโครงการบ้านฟ้ากรีนเนอรี ปากเกร็ด-ราชพฤกษ์ ขายไปได้ 24 ยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่า 78 ล้านบาท จากทั้งหมด 128 ยูนิต โดยได้มีการทยอยโอนไปบ้างแล้วมูลค่าราว 10 ล้านบาท และบริษัทยังตั้งเป้าปิดการขายโครงการทั้งหมดและทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมด 680 ล้านบาท จากโครงการรดังกล่าวในปี 60
นายรังสรรค์ กล่าวว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นในศักยภาพทำเลกรุงเทพตะวันตก ที่ตอบรับการขยายตัวของความสะดวกในทุกทิศทาง อีกทั้งปัจจัยบวกจากการลงทุนภาครัฐถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ของกรุงเทพโซนตะวันตกซึ่งมีความพร้มอด้านสาธารณูปโภค เส้นทางการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โครงการทางด่วนศรีรัช วงแหวนรอบนอกตะวันตก รถไฟฟ้าสายสีม่วง และส่วนต่อขยายอื่นๆในอนาคตที่จะมีรถไฟฟ้าถึง 4 สาย ทำให้ทำเลกรุงเทพโซนตะวันตกเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีศักยภาพสูง และเหมาะกับการเลือกเพื่ออยู่อาศัย
ด้านภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันนี้ยังมองว่าการฟื้นตัวขึ้นยังไม่เห็นความชัดเจน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อชะลอตัวอยู่ ซึ่งส่งผลต่อภาวะของตลาดอสังหาริมาทรัพย์ไนขณะนี้ที่ผู้ประกอบการหลายราย รวมถึงบริษัทมีความระมัดระวังในการเปิดโครงการ แม้ว่าจะมีที่ดินอยู่ในมือพร้อมที่จะเปิดอยู่จำนวนมากก็ตาม นอกจากนี้สถาบันการเงินต่างยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และเลือกโครงการที่มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกค้ามีศักภาพในการกู้ ส่วนโครงการใดที่มีความเสี่ยงจะเห็นการปฏิเสธสินเชื่อในระดับสูง
โดยจะเห็นได้จากยอดปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 15-20% จากปีก่อนที่ 10-15% หลังจากธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แม้ว่ามีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงขึ้น แต่ธนาคารยังคงกังวลในเรื่องอัตราการยกเลิกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่ติดเครดิตบูโร ซึ่งทางบริษัทก็มีการให้คำปรึกษากับลูกค้าประเภทดังกล่าวมากขึ้น และทำงานร่วมกับธนาคารเพิ่มขึ้น
"ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นค่อนข้างทรงตัว เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ทุกธุรกิจประสบปัญหาในเรื่องกำลังซื้อ เราเองก็พยายามลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่าย งานก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงลดการเปิดตัวโครงการน้อยลง โดยปีนี้เรายังคงแผนการเปิดโครงการตามเป้า จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 พันล้านบาท ตอนนี้ก็เปิดไป 2 แล้ว เหลืออีก 1 โครงการแนวราบในปริมณฑล ก็คงจะเปิดในไตรมาส 4 นี้ และเรายังมีที่ดินเปล่าอีก 3-4 แปลง ที่รอการพัฒนาโครงการแนวราบในปริมณฑล แต่ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจว่าจะเปิดในช่วงไหน คิดว่าคงเป็นปีหน้า ส่วนรายละเอียดโครงการยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้"นายรังสรรค์ กล่าว