นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากราว 651 ล้านบาทในปีก่อน หลังสามารถขยายสถานีบริการน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ได้ตามแผน รวมถึงจำนวนสมาชิกบัตร PT Max Card ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนปริมาณขายน้ำมันที่ปีนี้วางเป้าหมายเติบโต 30-40% จาก 2,234 ล้านลิตรในปีที่แล้ว ประกอบกับการรุกธุรกิจนอนออยล์ ที่มีมาร์จิ้นช่วยหนุนผลกำไรด้วย
ขณะที่เปิดเกมรุกแผนขยายสถานีบริการน้ำมันในย่านกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มมากขึ้นราว 30 แห่ง/ปี จากเดิมที่การขยายสถานีบริการจะอยู่ในเขตรอบนอกเมือง เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าหวังเป็นส่วนช่วยผลักดันส่วนแบ่งตลาดน้ำมันผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 ของตลาด ในปี 60 จากปัจจุบันอยู่ที่ 8.6-8.7% เป็นอันดับ 5 โดยค่ายน้ำมันที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 ในปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดราว 14%
"key success factor ที่แตกต่างของเรา ข้อหนึ่งเราเป็นบริษัทน้ำมันที่ขยายตัวเร็วมาก...ปีนี้เราจะขยายปั๊ม 300 ปีหน้า 350 ปี 61-65 จะเป็น 400 แห่งต่อปี จนถึงปี 65 และสิ้นสุดปี 65 ก็จะต้องมีสถานีบริการน้ำมันไม่น้อยกว่า 4,000 สาขา คาดการณ์ว่าปีหน้าจำนวนสาขาเราน่าจะแซงปตท.แล้ว ส่วนแบ่งการตลาดลึก ๆ เราแอบคาดหวังในใจว่าปีหน้าจะเป็นเบอร์ 2 แต่ถ้าปี 61 เราเป็นเบอร์ 2 แน่นอน"นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ตามแผนกลยุทธ์จากปี 60-65 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 30% ตามแผนการขยายสถานีบริการน้ำมันที่ในปีหน้าจะขยายอีก 350 แห่ง และตั้งแต่ปี 61-65 จะขยายปีละ 400 แห่ง ขณะที่จะขยายสถานีบริการ LPG ราว 50 แห่ง/ปี ขณะเดียวกันก็จะหันมาเน้นธุรกิจนอนออยล์ ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ วางเป้าหมายในปี 65 จะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจนอนออยล์เพิ่มเป็น 10-15% จาก 1% ขณะนี้ ส่วนธุรกิจน้ำมันจะมีสัดส่วนกำไรเหลือราว 80-85% จาก 99% ในปัจจุบัน และในปี 71 คาดว่าจะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจน้ำมันอย่างมากที่ระดับ 30-40% ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจนอนออยล์
การลงทุนช่วงปี 60-65 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท/ปี โดยจะเป็นการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน ทั้งในส่วนการขยายและปรับปรุงสถานีบริการไม่น้อยกว่า 3 พันล้านบาท/ปี และลงทุนสำหรับธุรกิจนอนออยล์ราว 1 พันล้านบาท/ปี
สำหรับธุรกิจนอนออยล์ของบริษัทจะมีทั้งร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่มีแผนจะขยายเป็น 200 แห่งในปีหน้า จาก 80 แห่งในสิ้นปีนี้,การขยายร้านสะดวกซื้อ Max Mart ,ธุรกิจน้ำมันเครื่องที่เตรียมจะเปิดตลาดในต้นเดือนต.ค.นี้ คาดหวังจะทำยอดขายได้ราว 5-6 ล้านลิตรในปีแรกที่วางจำหน่าย จากมูลค่าตลาดรวมที่มี 600-700 ล้านลิตร/ปี ,ครัวกลาง ที่จะผลิตเบอเกอรี่ ส่งให้ร้านกาแฟในอนาคต ตลอดจนมีแผนจัดตั้งศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ยังมีการลงทุน 40% ในธุรกิจโครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ ซึ่งประกอบด้วย น้ำมันพืชบริโภค ,ไบโอดีเซล (B100) ซึ่งจะเปิดดำเนินการในกลางปีหน้า โดยเงินลงทุนในโครงการนี้ส่วนใหญ่ลงทุนไปเกือบหมดแล้ว ขณะที่โรงงานเอทานอล มูลค่า 1.5 พันล้านบาทนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาใช้เทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ที่สามารถทำให้ต้นทุนต่ำกว่าการผลิตจากโมลาสราว 1 บาท/ลิตร ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ในปี 60
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเดินหน้าธุรกิจ LPG ต่อเนื่องแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาความต้องการใช้ LPG จะลดลงมากจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ยอดใช้ LPG ภาคขนส่งลดลง 14% แต่ยอดขาย LPG ของบริษัทกลับเติบโตราว 2-3% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้ประโยชน์จากบัตร PT Max Card รวมถึงการปรับโฉมสถานีบริการ LPG ใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ช่วงดึงดูดลูกค้าที่เคยเติมสถานีบริการที่ไม่มีแบรนด์ ก็หันมาเติมกับสถานีบริการที่มีแบรนด์ ขณะที่ยอดใช้ที่ลดลงไปทำให้การแข่งขันในตลาดลดลงด้วย จึงสามารถดึงมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นได้ด้วย
นอกจากนี้ในด้านของโอกาสการเช่าระยะยาวในราคาที่ต่ำลงกว่าช่วงก่อนสำหรับสถานีบริการ LPG ก็มีมากขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเช่าสถานีบริการ LPG จำนวนราว 30 แห่งจาก 4-5 รายซึ่งน่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ โดยบริษัทคาดว่าจะสรุปดีลเช่าสถานีบริการ LPG ราว 20 แห่งได้ภายในไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการเช่าและปรับปรุงราว 5 ล้านบาท/แห่ง
ณ สิ้นไตรมาส 2/59 บริษัทมีสถานีบริการกว่า 1,240 แห่ง โดยในจำนวนนี้เป็นสถานีบริการ LPG จำนวน 44 แห่ง และมีจำนวนสมาชิก PT Max Card จำนวน 4.6 ล้านสมาชิก ขณะที่วางเป้าหมายจะมียอดสมาชิกเพิ่มเป็น 13 ล้านสมาชิกในปี 63