นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าเมื่อเปิดตลาด ดัชนีฯอาจมีการปรับตัวลงตามตลาดหุ้นรอบบ้านและสหรัฐฯ แต่คาดจะมีแรงซื้อหุ้นที่ราคาลงมามากกลับเข้ามาในตลาดด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อปิดตลาดจึงมีโอกาสที่จะบวกหรือลบได้พอๆกัน โดยมองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,420-1,455 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ มองว่าตลาดยังเป็น technical rebound หากดัชนีฯ วันนี้สามารถยืนได้ใกล้แดนบวกหรือเป็นบวกมากเท่าใดจะยิ่งดี และตามที่แนะนำวานนี้ คือ สัญญาณวกกลับของตลาด จะดูจากการบวกติดต่อกันได้สองวันติดต่อกัน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจจึงควรดูวันนี้อีกหนึ่งวัน โดยปรับคำแนะนำในภาพรวม จาก “ลดพอร์ต" มาเป็น “ถือ" เพราะการจะเข้าลงทุนหรือซื้อหุ้นในช่วงเวลาแบบนี้ ยังต้องเน้นกรอบเวลาการลงทุนสั้นๆไว้ก่อน โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและราคาปรับตัวลงมามากๆ หุ้นที่แนะนำวันนี้ได้แก่ BLA, SEAFCO,CHG,KCE,HTECH
นายมงคล กล่าวว่า จากความเห็นของ นางลาเอล เบรนนาร์ด กรรมการของ Fed ที่กล่าวว่ายังไม่ต้องการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC 20-11 ก.ย. ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ดันดัชนี Dow Jones ปรับตัวขึ้นไปวันก่อนหน้านี้ (12 ก.ย.) ถึง 239 จุด แต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะชี้ชัดว่า Fed จะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ (Fed Fund Rate Implied Probability เดือน ก.ย. ยังอยู่ที่ 22% เท่ากับวันก่อน) นักลงทุนจึงเดินหน้าปรับพอร์ตกันต่อ
นอกจากนี้ หากสังเกตจะพบว่าเงินดอลลาร์และ Bond Yield ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นไปเกิน 2 วันก่อนด้วย จึงมีน้ำหนักในทางลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดอื่นๆในวันนี้
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลงมาแตะ 45 เหรียญสหรั-/บาร์เรล จาก รายงาน Oil Market Report เมื่อเย็นวานนี้ที่ปรับลดการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันปีนี้ ลง 0.1 ล้านบาร์เรล/วัน จากรายงานเดือนก่อน ก็เป็นตัวแปรที่กดดันต่อตลาดหุ้นต่างๆ ในคืนที่ผ่านมาด้วย
ด้านปัจจัยในประเทศ วันนี้จะมีการประชุม กนง.คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% จึงไม่น่ามีผลต่อตลาดหุ้น
ส่วนการสูงขึ้นของดัชนีฯวานนี้ หลักๆคงมาจากปรับตัวลงไปมากและได้ข่าวบวกจากการสูงขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่า ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นเอเซียปรับตัวลดลงจะเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาถึงการร่วงลงของดัชนีฯรอบนี้ เกือบ 9% ในช่วงเวลาไม่กี่วัน ถือว่าลงมากผิดปกติ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของตลาดยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ค่า Forward P/E ของกำไรไตรมาส 3 ปีนี้ปรับลงมาแถวๆ 15-16 เท่าซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมาก โอกาสที่ดัชนีฯ จะมีการรีบาวด์ต่อจึงมีให้เห็นบ้าง