(เพิ่มเติม) QTC ประกาศรุกธุรกิจพลังงานทดแทนตั้งเป้ากำลังผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 150 MW ภายในปี 63

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 14, 2016 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ประกาศแผนธุรกิจหลังขายเทนเดอร์ฯ ให้นักลงทุนรายใหญ่ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยจะมุ่งหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงาน ตั้งเป้าหมายมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนไม่ต่ำกว่า 150 เมกะวัตต์ภายในปี 63 ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งเจรจาซื้อกิจการอีก 2 บริษัทในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าชั้นนำ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 5-6 เดือน ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายจะผลักดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 62

ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือ 1 พันล้านบาท จากเดิม 1.2 พันล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อของลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งงานโครงการของภาครัฐมีความล่าช้า แต่ในปีหน้าคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หลังจากมีการรับรู้รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และเชื่อว่ายอดขายน่าจะดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานใหม่มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท เพื่อผลักดันมูลค่างานในมือ (backlog) ที่มีกว่า 350 ล้านบาทที่จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมด

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานคณะกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ QTC เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน โดยตั้งเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 150 เมกะวัตต์ภายในปี 63

ล่าสุด บริษัทตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท คิวทีซี โกลบอล พาวเวอร์ จำกัด เพื่อเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ โดยในช่วงไตรมาส 4/59- ไตรมาส 1/60 บริษัทฯจะเข้าซื้อโครงการโรงไฟ้าพลังงานน้ำ กำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 20 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว โดยจะถือหุ้นในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 75% ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ทันที และยังอยู่ระหว่างศึกษาและเจรจาเข้าถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ 1-2 โครงการ โดยจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50% แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดได้

สำหรับความคืบหน้าแผนการร่วมทุนกับ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) เพื่อดำเนินธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 36 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นนั้น บริษัทฯเตรียมสรุปแผนในสัปดาห์หน้า อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศเพื่อนบ้าน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ คาดจะเห็นความชัดเจนได้ประมาณเดือน ต.ค. ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายอัตราผลตอบแทนการลงทุนในแต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 10% หรือ 10-15%

"เรามุ่งมั่นที่จะขยายการลงทุนไปในโครงการที่ให้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะเป็นการลดความเสี่ยงจากธุรกิจเดิมในปัจจุบันที่คู่แข่งค่อนข้างมากในตลาด โดยบริษัทฯเน้นในกลุ่มโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทั้งการเข้าซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง ซึ่งในระยะแรกเราจะเน้นการเข้าซื้อกิจการที่มีรายได้เข้ามาทันที เพื่อที่จะให้ง่ายต่อการทำโปรเจกต์ไฟแนนซ์ ในโครงการต่อๆไป ซึ่งเราคงจะเห็นการเริ่มพัฒนาเองจากที่ดินเปล่าๆเลยก็ช่วง ช่วงครึ่งปีหลังของปี 60 โดยภายใน 5 ปี คาดว่า QTC จะสร้างรายได้จากธุรกิจพลังงานไม่ต่ำกว่า 25- 30%"นายพูลพิพัฒน์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ บริษัทปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงเหลือ 1,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท หลังจากช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้เพียง 177.27 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ประกอบกับธุรกิจภาครัฐฯและเอกชนที่ยังคงชะลอตัวอยู่ แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดีขึ้น

ปัจจุบัน บริษัทมียอดมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 350 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปีนี้ โดยบริษัทฯ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะทยอยมีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทเตรียมจะเข้าประมูลงานของภาครัฐและเอกชน อาทิ การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้มีการประมูลก่อนเดือน ต.ค.

"ปีนี่เรายังไม่มั่นใจว่าผลประกอบการจะออกมามีกำไรหรือไม่ เพราะช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้เพียง 177.27 ล้านบาท และมีผลขาดทุนอยู่ 43.30 ล้านบาท ซึ่งเราต้องมาลุ้นในช่วงครึ่งปีหลังว่างานจะส่งมอบได้มากแค่ไหน ซึ่งถ้าหากส่งมอบได้เยอะเราก็มีโอกาสที่จะกลับมามีกำไรได้"นายพูลพิพัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 60 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือกว่า 1,200-1,300 ล้านบาท โดยรายได้จะมาจากการเพิ่มยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามงานภาครัฐและเอกชนที่มีแนวโน้มออกมาเพิ่มขึ้น ในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัว รวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนหลังการรวมตัวของ AEC โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะค่อยๆเพิ่มขึ้น และเพิ่มเป็น 40% ภายในปี 62

นอกจากนี้ บริษัทฯได้มีการปรับขบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงยังมีการศึกษาธุรกิจที่มีศักยภาพในการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อแสวงหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการอยู่ 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 5-6 เดือนต่อจากนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ