ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาทของ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ที่ระดับ “A+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2559 และใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานที่ได้รับการยอมรับ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและการมีหลักทรัพย์สภาพคล่องในระดับสูงด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงรักษาสถานะทางการเงินที่ยอมรับได้ และคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้ารายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 25,000-30,000 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนคาดว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบันในขณะที่ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์รายอื่น ๆ
LH เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทย บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ เดือนมิถุนายน 2559 อยู่ที่ 97,000 ล้านบาท ซึ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 26,260 ล้านบาทในปี 2558 และ 15,433 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งอยู่ใน 3 อันดับแรกในกลุ่มผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตระกูลอัศวโภคินมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 31% ณ เดือนสิงหาคม 2559 รองลงมาคือ Government of Singapore Investment Corporation (GIC) ในสัดส่วน 16%
สินค้าหลักของบริษัทคือบ้านเดี่ยวซึ่งสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของรายได้รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งมากซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขาย บริษัทประสบความสำเร็จในการขายบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์และราคาที่หลากหลาย รวมทั้งยังเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับกำลังซื้อและความต้องการของผู้บริโภคในทำเลแต่ละแห่ง ยอดขายของบริษัทลดลง 21% เป็น 24,612 ล้านบาทในปี 2558 ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เท่ากับ 11,311 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปี 2558
ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 17,540 ล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้ยอดขายดังกล่าวเป็นรายได้จำนวน 6,000 ล้านบาท และ 11,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2559 และในปี 2560 ตามลำดับ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 25,000-30,000 ล้านบาทต่อปี บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เท่ากับ 22%-25% ในช่วงปี 2555 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันจากต้นทุนค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น และฆค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจ
บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 ที่ 47% และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ที่ 45% ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.8 เท่า แม้ว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าหลายโครงการ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า บริษัทมีภาระหนี้ในระดับปานกลาง ทว่าความเสี่ยงดังกล่าวก็ลดลงจากการที่บริษัทมีเงินลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและการถือเงินลงทุนจำนวนมากในหลักทรัพย์สภาพคล่องสูง โดยมูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 เท่ากับ 55,000 ล้านบาท และรายได้จากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ 2,000-2,400 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2558
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 14%-16% ในช่วงปี 2556-2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 19% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 6-8 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่า