โบรกฯแนะ"ซื้อ"EPG กำไรโตแข็งแกร่งต่อเนื่องจาก 3 ธุรกิจหลัก-บริหารจัดการดี,upside สูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 15, 2016 14:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) ทิศทางกำไรยังแข็งแกร่งด้วยอัตราการเติบโตกำไรหลักเฉลี่ยปีละ 24% ในช่วงงวดปี 59/60 ไปจนถึงงวดปี 61/62 รวมถึงการบริหารจัดการที่ดีช่วยหนุนกำไร แม้ต้นทุนปรับขึ้นและภาวะโดยรวมไม่เอื้อ ส่วนระยะยาวยังเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์บวกจากรถยนต์ไฟฟ้า ให้เป็นหุ้น Growth Stock จาก 3 ธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งหนุนการเติบโตในอนาคต ขณะที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก ยังมี upside สูง

ราคาหุ้น EPG ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 13.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท (+3.03%)

          โบรกฯ                              คำแนะนำ            ราคาพื้นฐาน(บาท)
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)       ซื้อ                    17.00
          บล.ฟินันเซีย ไซรัส                     ซื้อ                    16.00
          บล.บัวหลวง                          ซื้อ                    18.80
          บล.เออีซี                            ซื้อ                    16.00
          บล.เอเซีย พลัส                       ซื้อ                    19.00

นายชัยพัชร ธนวัฒนโน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"หุ้น EPG ด้วยราคาพื้นฐาน 17.00 บาท สะท้อนอัตราเติบโตของกำไรหลัก CAGR 3 ปีที่ 25% มีศักยภาพในการได้รับธุรกิจเพิ่มในอุตสาหกรรมพลาสติกสำหรับยานยนต์ หลังจากยอดขายในงวดไตรมาส 1/60 (เม.ย.-มิ.ย.59) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ถือว่าธุรกิจนี้มีความสำคัญเพราะเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 43% จากทั้งหมด และยังได้มีการติดต่อกับผู้ผลิตรถยนต์ค่ายยุโรปที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มออกจำหน่ายได้ในปี 60

แนวโน้มกำไรในไตรมาส 2/60 (ก.ค.-ก.ย.59) คาดว่าจะดีขึ้นเพราะเป็น High season ของการก่อสร้างโดยเฉพาะในสหรัฐซึ่งเป็นตลาดหลักของผลิตภัณฑ์ Insulation rubber และ แม้ราคาน้ำมันได้ปรับขึ้นแต่บริษัทพยายามรักษาอัตราการทำกำไรสำหรับสินค้าบรรจุภัณฑ์ให้มีผลกระทบน้อยด้วยบริหารสินคงคลังและการจัดซื้อวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ

"ภาพรวมธุรกิจออโต้จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในอนาคต ออเดอร์ยัง Secure พอควร และกำลังจะมีออโต้เมกเกอร์รายใหม่เข้ามาสนับสนุนศักยภาพการเติบโตในอนาคต ธุรกิจฉนวนยางยอดขายฟื้นตัวโดยหลักมาจากตลาดสหรัฐที่ดีขึ้น การก่อสร้างเพิ่มขึ้นดีมานด์ในสหรัฐก็เพิ่มขึ้น ในไทยยังมี potential การสร้างตึกอาคาร คอนโดมิเนียม รถไฟฟ้าต่างๆ ดีมานด์ฉนวนยางจะมากขึ้น ทำประมาณการกำไรปีนี้เติบโต 32% ไปที่ 1,800 ล้านบาท และปี 60 โตอีก 18%"นายชัยพัชร กล่าว

ขณะที่นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ปรับราคาเป้าหมายหุ้น EPG ขึ้นเป็น 16 บาท จาก 15 บาท หลังปรับอัตราการเติบโตของกำไรปกติช่วง 2 ปีนี้ (ปี 60-61) สูงกว่าเดิม โดยกำไรปกติในไตรมาส 1 (เม.ย.-มิ.ย.59) เพิ่มขึ้น 27.7% QoQ และ 63.1% YoY สะท้อนความแข็งแกร่งของธุรกิจท่ามกลางความผันผวนของค่าเงินหลายสกุล ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับขึ้น เศรษฐกิจออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศที่เป็นตลาดของบริษัทยังไม่ฟื้นตัวดีนัก แต่รายได้รวมกลับทำ New high และยังรักษา EBITDA margin ได้ที่ 21.9% อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ทำได้ 19-23%

แนวโน้มธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์และบรรจุภัณฑ์พลาสติกยังสดใส ส่วนธุรกิจฉนวนยางเติบโตค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่โครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง รองรับการขยายตัวได้อีกมากทั้ง Organic และ Inorganic

"ราคาหุ้นปัจจุบัน PE ยังถูกมาก ประกาศงบไตรมาสแรกดี เหลืออีก 3 ไตรมาส ทิศทางก็ยังเป็นขาขึ้น กำไรไตรมาสที่ผ่านมาแข็งแรงดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นขึ้นแต่บริษัทก็บริหารต้นทุนได้ดี ขนาดภาพรวมไม่เอื้อทั้งค่าเงินหลายสกุลผันผวนมาก แต่ EPG มีฐานการตลาดและฐานการผลิตอยู่ทั่วโลกทั้งอเมริกา ญี่ปุ้น เอเชีย แม้ค่าเงินที่ผันผวนแต่ก็สามารถบริหารจัดการได้ดี สะท้อนความแข็งแกร่งเพราะปกติเม็ดพลาสติกจะปรับตามราคาน้ำมันดิบ แต่บริษัทก็มีมาร์จินที่สูงขึ้นได้ เพราะประสิทธิเครื่องจักร โรงงาน การประหยัดต่อขนาด(Economy of Scale) ถึงน้ำมันจะขึ้นก็ไม่กระทบ ความสามารถในการทำกำไรยังได้อยู่ โครงสร้างทางการเงินดีอยู่แลว DE เพียง 0.3 เท่า ยังโอกาสอีกมากที่ธุรกิจจะขยายตัวในอนาคต"น.ส.จิตรา กล่าว

นายณพัฒน์ ศรีวรพงษ์พันธ์ นักวิเคราะหลักทรัพย์ บล.เออีซี เชื่อว่าราคาหุ้น EPG ในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเนื่องจากซื้อขายที่ PER ของปีนี้และปีหน้าที่ประมาณ 20 เท่า ซึ่งสูงกว่า PER ของกลุ่มวัสดุก่อสร้างเพียงเล็กน้อยที่อยู่ในระดับ 17 เท่า แต่บริษัทสามารถสร้าง ROE ที่เหนือกว่าและมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นกว่าภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำจากสิทธิบัตรที่มีอยู่ในมือ

"ราคาหุ้นปรับลงมา upside เปิดกว้างมาก ในแง่พื้นฐานเดินหน้าขยายตลาดทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ราคาหุ้นที่ปรับลงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ ผลประกอบการ กำไรเดินหน้าทำนิวไฮตลอด Secure ทั้งสิทธิบัตรและนวัตกรรมของตัวเอง การรุกตลาดต่างประเทศก็ซักเซส"นายณพัฒน์ กล่าว

ด้านบทวิเคราะห์ของ บล.บัวหลวง ระบุว่า การเติบโตของกำไรหลัก EPG แข็งแกร่ง ด้วยอัตราการเติบโตของกำไรหลักเฉลี่ยที่ 24% ต่อปีในช่วงปี 59/60-61/62 เทียบกับตลาดที่ 7% และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ 8% หนุนโดยอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากทั่วโลกและกำลังการผลิตที่ขยายตัว รวมทั้งความสามารถในการรักษาระดับอัตรา นอกจากนั้น คาดการณ์การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2/59 (สิ้นสุดเดือน ก.ย.) จากช่วงไฮซีซั่นและต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะต่อไป ทั้งนี้ มีโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากการควบรวมกิจการ

Aeroflex เติบโตต่อเนื่องไปพร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นปัจจัยหนุนลักของอุปสงค์ฉนวนยางทั่วโลก มูลค่าการตลาดของอุตสาหกรรมก่อสร้างคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตที่ 4.2% CAGR ระหว่างปี 2559-2561 หากมองเพียงแค่ภายในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของบริษัท Aeroflex ซึ่งเป็นธุรกิจฉนวนของ EPG งบประมาณในการก่อสร้างทั้งส่วนภาครัฐและเอกชนคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในปีหน้าพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจ

Aeroklas เป็นธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของ EPG ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนุนโดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น การเปิดตัวสินค้าใหม่ และการเข้าซื้อกิจการ โดยคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตมีดังนี้ ยอดขายยานพาหนะใหม่ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และความต้องการยานพาหนะที่มีน้ำหนักเบาลง ถ้าโฟกัสเฉพาะประเทศไทยซึ่ง Aeroklas มียอดขายคิดเป็น 31% ในปี 2558/59 การผลิตยานยนต์ในประเทศไทยเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจากหดตัวอย่างมากในปี 57

Eastern Polypack การฟื้นตัวของการบริโภคและอุปสงค์สำหรับสินค้าทดแทนที่ปรับตัวสูงขึ้นหนุนการเติบโต เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศไทยมีการเติบโตที่ดีขึ้นกอปรกับภาวะการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวจะส่งผลให้อุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่บริษัท Eastern Polypack ซึ่งเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกของ EGP ยิ่งไปกว่านั้นบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีคุณสมบัติหลายประการที่เหนือกว่าวัสดุชนิดอื่น (ราคาถูกกว่า,ใช้พลังงานน้อยกว่า,และที่สำคัญเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรแก่สิ่งแวดล้อม) ซึ่งจะเป็นการสร้างอุปสงค์สำหรับการเป็นสินค้าทดแทนอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนบทวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส คาดว่า กำไรไตรมาส 2 ของงวดปี 59/60 (ก.ค.-ก.ย.59) ของ EPG จะเติบโต QoQ โดยมีแรงหนุนจากความต้องการฉนวนยางที่มากขึ้นในช่วงฤดูกาลก่อสร้างของสหรัฐซึ่งเป็นตลาดหลักของธุรกิจ AFC ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 25% และการใช้กำลังการผลิตเฟส 2 ของ EPP ซึ่งจะผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเกรดต่ำกว่าเฟส 1 โดยมีจุดเด่นจากการผลิตที่รวดเร็ว และสามารถลดค่าใช้จ่ายแรงงานคนไปได้มาก อีกทั้ง EPG ได้นำแนวทางการผลิตดังกล่าวไปปรับใช้กับสายการผลิตเฟส 1 ด้วย จึงคาดว่านอกจากจะช่วยหนุนรายได้แล้ว ยังหนุนให้ Gross Margin เพิ่มขึ้นจาก Economy of Scale

ยังคงประมาณการกำไรปี 59/60 ที่ 1.66 พันล้านบาท เติบโต 17% YoY และจะเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว โดย EPG เป็นหนึ่งในผู้ได้รับอานิสงค์บวกหากมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตจะต้องหันมาใช้พลาสติกแทนที่วัสดุอื่นๆเพื่อลดน้ำหนักให้มากที่สุด ซึ่งในส่วนของธุรกิจ EPP มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับการผลิตรองรับไว้แล้ว ขณะที่ Dividend Yield อยู่ในระดับต่ำ 1.6% เพราะอยู่ในช่วงการเติบโต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ