โบรกเกอร์ ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) จากปัจจัยพื้นฐานดี และมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจโรงแรมที่ดี ไม่กระจุกแต่ในประเทศ ขณะที่โครงสร้างรายได้รวมยังกระจายไปยังธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร นอกจากนี้ MINT ยังมีทีมบริหารที่มีประสบการณ์ที่ดี รวมถึงมีการปรับนโยบายในเชิงรุกและรับได้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่าง ๆ
สำหรับผลการดำเนินงานของ MINT ในช่วงครึ่งปีหลังปีมีแนวโน้มที่กำไรจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ขยายตัวได้ดี จากธุรกิจโรงแรมที่ได้เข้าซื้อในช่วงก่อนหน้านี้ โดยธุรกิจโรงแรม Tivoli ในโปรตุเกส จะได้รับผลดีจากการเข้าช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3/59 นอกจากนี้ MINT จะรวม 2 โรงแรมในสาธารณรัฐแซมเบีย เข้ามารวมในงบการเงินในไตรมาส 3/59 หลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 50% เป็น 100% ขณะเดียวกันโครงการ Anantara Serviced Suites ที่เชียงใหม่ ได้สร้างเสร็จแล้ว และพร้อมโอนคอนโดมิเนียมจำนวน 31 ห้องจาก 44 ห้อง คาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 3/59
ส่วนธุรกิจอาหารในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดี โดยเฉพาะในประเทศ ขณะที่ไตรมาส 4/59 คาดว่า MINT จะบันทึกกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย ซึ่งจะหนุนกำไรของ MINT ในปีนี้ให้เติบโตดีต่อเนื่อง
ราคาหุ้น MINT ปิดเที่ยงวันนี้อยู่ที่ 38.50 บาท นับแต่ต้นปีราคาหุ้น MINT ปรับขึ้นราว 6.2% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นราว 15%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 50.00 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 50.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 48.00 กรุงศรี ซื้อ 48.00 เอเซีย พลัส ซื้อ 48.00
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า MINT มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจโรงแรมที่ดี ไม่กระจุกฉพาะแต่ในประเทศ โดยมีธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศด้วย ทำให้ความเสี่ยงธุรกิจลดลง ฐานรายได้ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย อีกทั้งโครงสร้างรายได้รวมของ MINT ยังกระจายไปทั้งในธุรกิจโรงแรมและอาหาร
สำหรับธุรกิจอาหาร นับว่ามีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง และในปีนี้ก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดในไตรมาส 2/59 จากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ปรับขึ้นเป็น 2.3% ขณะที่การบริโภคไม่ดีมากนัก แสดงให้เห็นว่า MINT ยังเติบโตได้ดี และยังไปได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง โดยยังได้แรงเสริมจากโรงแรมที่บราซิลที่ได้ปรับปรุงเสร็จแล้ว และยังได้โรงแรม Tivoli ในโปรตุเกส เข้ามาช่วยหนุนรายได้ด้วยในครึ่งปีหลัง
ดังนั้น กำไรของ MINT ในปีนี้น่าจะเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์กำไรปกติปีนี้ไว้ที่ 5,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่อยู่ระดับ 4,655 ล้านบาท และในปี 60 คาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มเป็น 6,535 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับราว 7,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่ง MINT จะมีรายการพิเศษในแต่ละปีอยู่จำนวนมาก ดังนั้น จึงควรจะพิจารณาที่กำไรปกติจะดีกว่า
นอกจากนี้ MINT ยังมีทีมบริหารที่มีประสบการณ์ที่ดีด้วย มีการปรับนโยบายในเชิงรุก และเชิงรับได้สอดคล้องกับสถานการณ์ สำหรับความเสี่ยงของ MINT ก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปอย่างภาวะเศรษฐกิจโลก และโรคระบาด
ด้านนายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ MINT ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่กำไรจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ดี จากธุรกิจโรงแรมที่ได้เข้ามาซื้อในช่วงก่อนหน้านี้จะดีขึ้น โดยธุรกิจโรงแรม Tivoli ที่โปรตุเกส จะได้รับผลดีจากการเข้าช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3/59 ส่วนธุรกิจอาหารในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะฟื้นตัวได้ดี โดยเฉพาะในประเทศ
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับโรงแรมอื่น MINT มีรายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนประมาณ 45% ซึ่งมีการกระจายรายได้ที่ดี โดยมีธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และบมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ที่รายได้หลักจะอยู่ในประเทศ
พร้อมคาดการณ์กำไรปกติของ MINT ในปีนี้ไว้ที่ 5,510 ล้านบาท เติบโตประมาณ 17% จากปีที่แล้ว ขณะที่ MINT เป็นหุ้นที่มีรายการพิเศษมากในแต่ละปี
ด้าน บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น MINT มองไฮซีซั่นของโรงแรม Tivoli จะทำให้กำไรในไตรมาส 3/59 ออกมาดี โดยอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (RevPar) ธุรกิจโรงแรมกลับมาเติบโต 6% ในครึ่งแรกของไตรมาส 3/59 จากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. ของโรงแรม Tivoli ในโปรตุเกส
นอกจากนี้ MINT จะรวม 2 โรงแรมในสาธารณรัฐแซมเบีย เข้ามารวมในงบการเงิน ในไตรมาส 3/59 ประกอบด้วยโรงแรม Royal Livingstone ของ Anantara และโรงแรม AVANI Victoria Falls หลังจากเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 50% เป็น 100% ในเดือนก.ค.
ขณะเดียวกัน โครงการ Anantara Serviced Suites ที่เชียงใหม่ ซึ่ง MINT ร่วมทุน 50% กับบมจ.ยู ซิตี้ (U) นั้น ก่อสร้างเสร็จแล้ว และพร้อมโอนคอนโดมิเนียมจำนวน 31 ห้องจาก 44 ห้อง จะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 3/59
สำหรับธุรกิจร้านอาหารนั้น ในด้านของยอดขายสาขาเดิมช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 3/59 เติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตจากร้านอาหารในไทยและจีน โดยเฉพาะ The Pizza Compamy คิดเป็น 22% ของรายได้ในธุรกิจร้านอาหาร มี SSSG เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% สาเหตุหลักมาจากเมนูใหม่ที่มียอดขายที่ดี และแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนในการสั่งและส่งอาหารออนไลน์
ทั้งนี้ หุ้น MINT ควรจะมี premium จากแนวโน้มการเติบโตของกำไรจากธุรกิจหลักที่คาดว่าเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% ในช่วงปี 58-61 จึงแนะนำให้สะสมหุ้นก่อนการประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3/59 คาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่ไตรมาส 4/59 คาดว่า MINT จะบันทึกกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย
ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะ"ซื้อ"หุ้น MINT ด้วยราคาเป้าหมาย 50 บาท/หุ้น โดยคาดการณ์กำไรปกติในไตรมาส 3/59 จะเติบโตได้ดีกว่าไตรมาส 2/59 เนื่องจากคาดผลประกอบการของโรงแรมเดิมยังดีต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าเป็นช่วงไฮซีซั่นเต็มไตรมาสของโรงแรม Tivoli ประกอบกับอาจเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Anantara Serviced Suits ที่เชียงใหม่
นอกจากนี้คาดธุรกิจร้านอาหารจากยอดขายสาขาเดิม ยังเป็นบวกต่อเนื่อง ผลักดันจากร้านอาหารในไทยและจีน รวมถึงยอดขายสาขาเดิมในสิงคโปร์ที่ติดลบก็คาดว่าจะอยู่ในอัตราที่ลดลง ซึ่งน่าจะผลักดันให้กำไรปกติในปีนี้เพิ่มขึ้นมาที่ 5,499 ล้านบาท