นายเบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บมจ.คันทรี่ ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับเป็นกำไรได้หลังจากปี 61 จากแนวโน้มปี 59 และ 60 ที่ยังไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ว่าจะกลับมามีกำไรหรือไม่ เพราะบริษัทอยู่ระหว่างช่วงการลงทุนในโครงการใหญ่ คือ โครงการ "เจ้าพระยา เอสเตท" มูลค่าโครงการรวม 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะจะต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนและการคืนทุนในโครงการดังกล่าว
สำหรับโครงการดังกล่าว ช่วงกลางปี 61 บริษัทจะเริ่มรู้รายได้จากการเปิดให้บริการโรงแรมคาเพลล่า กรุงเทพที่เป็นโครงการที่เล็กที่สุดใน 3 ส่วนของโครงการ โดยมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2/61
ขณะที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพ ณ แม่น้ำเจ้าพระยา และโครงการคอนโดมิเนียม โฟร์ซีซั่นส์ไพรเวท เรสเด้นท์ กรุงเทพ ณ แม่น้ำเจ้าพระยา มีกำหนดก่อสร้างเสร็จในช่วงไตรมาส 4/61 และคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาทันที เชื่อวาจะทำให้เห็นผลการดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไรหลังจากมีรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมที่มีการใช้เงินลงทุนสูงสุดของโครงการ
นายเบน กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่จะทำให้โครงการ "เจ้าพระยา เอสเตท"ถึงจุดคุ้มทุนจะมาจากยอดขายของโครงการคอนโดมิเนียม โฟร์ซีซั่นส์ไพรเวท เรสเด้นท์ฯ ต้องมียอดขายตั้งแต่ 80% ขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 50% แล้ว ซึ่งบริษัทเชื่อว่ายอดขายยังมีแนวโน้มเติบโต เนื่องจากในพื้นที่ย่านเจริญกรุงติดริมแม่น้ำเจ้าพระยายังมีโครงการอสังหาริทรัพย์ระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่น้อย ทำให้การแข่งขันน้อย แต่มีความต้องการของลูกค้าระดับสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ยอดขายที่ทำได้มากกว่า 50% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวไทยในสัดส่วน 60% และต่างชาติ 40% อีกทั้งบริษัทยังมีแผนนำโครงการไปเสนอขายให้ลูกค้าชาวต่างชาติที่ฮ่องกงและไต้หวั่นในช่วงที่เหลือของปีนี้
"ช่วง 2 ปีนี้เป็นช่วงของการลงทุน เรายังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเห็นกำไรได้หรือไม่ เพราะโครงการที่เราพัฒนาอยู่เป็นโครงการใหญ่และมูลค่าสูง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง การตลาดและการขายที่ต้องใช้สูงมาก และมีกำหนดเสร็จและโอนในปลายปี 61 ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเห็นผลงานของบริษัท turnaround ได้อีกครั้ง ส่วนตอนนี้รายได้หลักของธุรกิจมาจากการโอนโครงการ Element Srinakarin มูลค่า 2.2 พันล้านบาท ซึ่งโอนไปแล้ว 80% เหลือโอนปีนี้อีก 20%"นายเบน กล่าว
ล่าสุด วันนี้บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกับสถาบันการเงินชั้นนำจากจีน คือแธนาคารไชน่า ผิง อัน เพื่อสนับสนุนทางการเงินในการพัฒนาโครงการ"เจ้าพระยา เอสเตท" มูลค่า 375 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินทุนดังกล่าวจะได้รีบการบริหารจัดการโดยบริษัท แลนด์มาร์ค โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ได้เพิ่มทุนแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.59 ระหว่าง CGD และบริษัท บีซีอีจี ไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ความคืบหน้าของโครงการ "เจ้าพระยา เอสเตท" มูลค่าโครงการ 3.2 หมื่นล้านบาท การก่อสร้างอาคารหลักของโครงการโฟร์ซีซันส์ ไพรเวท เรสซิเด้นท์ฯ ปัจจุบันงานโครงสร้างจากชั้น LG ถึง L8 เสร็จสมบูรณ์ 100% ขณะที่งานก่อสร้างโรงแรมคาเพลล่า และโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ มีความคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ตามกำหนด
"การสนับสนุนทางการเงินเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาโครงการในระดับบน ในส่วนของการก่อสร้างนั้นก็ได้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/57 และด้วยเงินสนับสนุนก้อนนี้ ผนวกกีบความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางธุรกิจ เราเชื่อมั่นว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ตามกำหนดในไตรมาส 4/61"นายเบน กล่าว
นายเบน ยังเปิดเผยว่า CGD ยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย จำนวน 10 โครงการ แต่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเห็นความชัดเจนเมื่อไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าและความพร้อมในการเจรจาแต่ระโครงการ
นโยบายของบริษัทจากนี้ไปจะเน้นการเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการมากขึ้น จากเดิมที่เป็นการพัฒนาโครงการเอง เพราะการซื้อกิจการสร้างผลตอบแทนได้ทันทีและสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ โดยแหล่งเงินไม่ได้เป็นสิ่งที่บริษัทกังวล เพราะบริษัทความพร้อมและมีความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนได้จากหลากหลายช่องทาง รวมถึงบริษัทยังมีกระแสเงินสดส่วนหนึ่งที่รองรับการลงทุนในอนาคต
เบื้องต้นแผนการลงทุนในสถานศึกษานั้น บริษัทมีแนวทางจะซื้อกิจการเพิ่มเติมอย่างน้อย 1 แห่ง หลังจากซื้อสถานศึกษาในเมืองไบรตัน ประเทศอังกฤษมาแล้ว 1 แห่ง โดยสถานศึกษาแห่งใหม่จะมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน และจะนำแบรนด์ดังกล่าวขยายเข้ามาในประเทศไทย โดยมองทำเลในกรุงเทพฯก่อน หลังจากนั้นจะค่อยๆ ขยายไปยังภูมิภาคเอเชีย