นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนาโครงการใหม่ร่วมทุนกับบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด อีก 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบทท โดยจะเป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าทั้งหมด คาดว่าจะได้ข้อสรุปของแผนงานดังกล่าวในช่วงเดือน พ.ย.นี้ และจะทยอยเปิดตัวในช่วงปี 60
ขณะที่แผนงานในปีนี้ บริษัทจะเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 4/59 อีกทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่าโครงการวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน 2 โครงการ คือ โครงการ ไอดีโอ สุขุมวิท 93 มูลค่า 6.07 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท และโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 มูลค่า 2.28 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 5.19 ล้านบาท
รวมทั้งโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนาเองจำนวน 2 โครงการ คือ โครงการ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร มูลค่า 2.51 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท และโครงการ ยูนิโอ นิด้า-เสรีไทย มูลค่า 932 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 9.5 แสนบาท
อีกทั้ง ยังมีโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่อีก 1 โครงการ มูลค่าราว 1 พันล้านบาท ที่เตรียมเปิดตัวในช่วงเดือน พ.ย.นี้ โดยในปีนี้บริษัทจะสามารถเปิดโครงการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งครึ่งแรกบริษัทมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเพียงอย่างเดียวทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 5.4 พันล้านบาท
สำหรับยอดขายในปัจจุบันทำได้แล้ว 1.43 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย เพราะในช่วงไตรมาส 4/59 จะยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ประกอบกับโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการขาย รวมทั้งโครงการใหม่ 2 โครงการที่เปิดขายในช่วงต้นเดือน ก.ย.ได้แก่ โครงการ ไอดีโอ โมบิ อโศก มูลค่า 3.24 พันล้านบาท สามารถสร้างยอดขายไปแล้วกว่า 70% และโครงการ เวนิโอ สุขุมวิท 10 มูลค่า 875 ล้านบาท สามารถสร้างยอดขายไปแล้วเกือบ 90% และจะยังสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
อีกทั้ง บริษัทเตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาส 4/59 โดยการจัดงาน "ANANDA URBAN PULSE" ระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค. 59 ที่ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภายใต้แนวคิด "SHIFT TO A NEW PARADIGM OF LIVING" เพื่อนำเสนอบร์บทใหม่ของการใช้ชีวิตสำหรับคนเมือง โดยการนำเสนอนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานกับการใช้ชีวิตที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งบริษัทได้นำโครงการคอนโดมิเนียมคุณภาพติดรถไฟฟ้ากว่า 14 โครงการทั่วกรุงเทพฯ มานำเสนอซึ่งเป็นการส่งเสริมการขายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยติดรถไฟฟ้า พร้อมกับข้อเสนอพิเศษเมื่อจองภายในงานดังกล่าว
ด้านรายได้ในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.56 หมื่นล้านบาท จากครึ่งแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5.48 พันล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีการรอรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) อีกราว 1.2 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด 3.85 หมื่นล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 61
พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไนปี 60 และ 61 จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยจะมีรายได้ในปี 60 และ 61 อยู่ที่ 3.02 หมื่นล้านบาท และ 4.23 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ บริษัทมองการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีทิศทางที่ดี จากการที่ภาครัฐได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าซึ่งคาดว่าจะขยายเส้นทางจากปัจจุบันที่มีอยู่ 81 สถานี เป็น 316 สถานี ภายในปี 79 ทำให้การเดินทางของประชาชนมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนมองว่าในปัจจุบันมีอัตราที่ลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคเริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้บริษัทคาดการณ์ว่าในปีนี้และไนอนาคตภาพรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะมีอัตราการเติบโตได้ในทิศทางที่ดี
ด้าน มร.อะกิฮิโกะ ฟูนาโอะ Excecutive Manageing Officer บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีแผนการเพิ่มการลงทุนในประเทศไทย โดยปัจจุบันได้ตั้งสำนักงานในนาม "มิตซุยฟูโดซัง เอเชีย แบงคอก"เนื่องจากมีความสนใจลงทุนเพิ่มในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นที่นอกเหนือจากที่อยู่อาศัย ได้แก่ อาคารสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้าประเภทเอาท์เล็ต และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ในประเทศไทย
เนื่องจากมองว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของการกระจายสินค้า และศูนย์กลางของแหล่งชอปปิ้งในอาเซียน โดยการลงทุนเพิ่มเติมนั้นอาจเป็นการร่วมลงทุนกับบริษัทในไทย หากมีการร่วมทุนเพื่อการลงทุนในโครงการอื่น ๆ ที่บริษัทมีความต้องการและเห็นโอกาสที่ดีในการลงทุนเพิ่มก็มองการร่วมทุนกับ ANAN เป็นรายแรก เพราะบริษัทและ ANAN ได้ร่วมทุนกันมาแล้ว 3 ปี และรู้จักกันดีในการร่วมทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยไนประเทศไทย
นอกจากนี้ อาจจะร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยรายอื่นที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศไปแล้วทั้งหมด 8 ประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในสหรัฐฯและอังกฤษอยู่ที่ 70-80% สัดส่วนการลงทุนในไทยและเอเชียอยู่ที่ 20-30%