นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทั่วโลกที่มีการปรับตัวลดลงจากความกังวลของ Deutsche Bank ที่ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสั่งปรับกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ กรณีที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ซึ่งผลในระยะสั้นทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล แต่ในระยะยาวแล้วน่าจะไกล่เลี่ยกันได้ในเรื่องนี้ เพราะเนื่องจาก Deutsche Bank เป็นธนาคารใหญ่สุดของเยอรมัน ซึ่งหากต้องจ่ายเงินค่าปรับจำนวนดังกล่าวจริงจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ Deutsche Bank และส่งผลต่อเนื่องไปถึง เศรษฐกิจของยูโรโซนมากขึ้นไปอีก ซึ่ง ณ ปัจจุบันเศรษฐกิจยูโรโซนยังไม่ฟื้นตัวมาก
ขณะที่ดัชนีบรรยากาศทางธุรกิจ (IFO) ของประเทศเยอรมันในเดือน ก.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 109.5 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 106.4 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 2 ปี แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเยอรมันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนราคาน้ำมันยังเกิดความผันผวนค่อนข้างมากจากการประชุม OPEC ที่ประเทศแอลจีเรีย โดยผู้ผลิตน้ำมันหลายรายต้องการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันเอาไว้แต่ก็ยังมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ระหว่าง ซาอุดิอาระเบีย และอิหร่าน ซึ่งการประชุมในวันที่ 28 ก.ย.นี้ KTBST คาดว่ามีแนวโน้มที่ผลการประชุมจะคงกำลังการผลิตเอาไว้ ซึ่งหากผลการประชุมออกมาตามนี้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับทรงตัวต่อไปหากหาข้อสรุปไม่ได้ราคาน้ำมันอาจปรับตัวลง
ด้านธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปีนี้ จาก 3.0 เป็น 3.2% ส่วนปี 60 คงคาดการณ์เดิมที่ 3.5% จากอานิสงส์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และแนวโน้มการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยที่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ครึ่งปีแรก GDP ของไทยขยายตัว 3.4% จากฐานของ GDP ที่ต่ำในปีก่อนเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงมาก และปีนี้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐ ประเมินได้ว่า GDP ปี 59 น่าจะตกอยู่ในกรอบ 3.2-3.5%
"การลงทุนต่างประเทศในช่วงนี้ แนะนำซื้อสะสมตลาดหุ้นจีนที่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินทุนเคลื่อนย้าย และให้ทยอยขายทำกำไรตลาดหุ้นญี่ปุ่นจากผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นและตลาดหุ้นยุโรปจากทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ยังคงแนะนำให้สะสมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นกู้เอกชนไทย"นายชาตรีกล่าว