ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (BH) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยตลอดจนตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกระแสเงินสดที่มั่นคงของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากข้อจำกัดของบริษัทจากการมีโรงพยาบาลหลักเพียงแห่งเดียว รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งทำให้จำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติลดลง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายที่บริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในประเทศเอาไว้ได้และจะยังคงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อไป โดยปริมาณเงินสดคงเหลือที่ค่อนข้างมากและกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจะช่วยให้บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงที่มีการลงทุนและขยายธุรกิจในอนาคต
เมื่อพิจารณาแผนการลงทุนของบริษัทแล้วทริสเรทติ้งเห็นว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไม่ควรจะเพิ่มขึ้นจากระดับการก่อหนี้ในปัจจุบันอันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทประสบความสำเร็จในการกระจายพอร์ตธุรกิจของบริษัทในขณะที่ยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมากจากระดับปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานและสภาพคล่องของบริษัทลดลงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน
BH ดำเนินกิจการโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" บริษัทเป็นผู้นำในการให้บริการด้านสุขภาพภาคเอกชนของประเทศและในภูมิภาคเอเชีย โดยโรงพยาบาลของบริษัทมีความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยนอกจำนวน 6,260 คนต่อวัน และมีเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยในทั้งหมด 637 เตียง (รวมโรงพยาบาล Ulaanbaatar Songdo ในประเทศมองโกเลีย) บริษัทเน้นให้บริการผู้ป่วยในระดับตติยภูมิ โดยในแต่ละปีบริษัทมีจำนวนผู้ป่วยชาวต่างประเทศมากกว่า 50% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่เข้ารับบริการ ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยที่ชำระเงินเองคิดเป็นประมาณ 70% ของรายได้รวม
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักและผลงานทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับมานานกว่า 30 ปี บริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มีรายได้สูงโดยใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างด้านบริการและคุณภาพ บริษัทมีความสามารถในการสร้างรายได้ต่อผู้ป่วยที่แข็งแกร่งมากซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีคุณภาพเอาไว้
บริษัทมีสัดส่วนผู้ป่วยที่มาจากภูมิภาคตะวันออกกลางสูงที่สุดจากจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติทั้งหมด โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติประมาณ 60%-65% ของรายได้ทั้งหมด ทั้งนี้ สัดส่วนจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่อยู่ในระดับสูงทำให้ฐานรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยต่างชาติมีระยะเวลาการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่นานกว่าและมีความซับซ้อนของโรคที่สูงกว่า นอกจากนี้ การรับผู้ป่วยที่มีสัญชาติหลากหลายยังช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพิงอุปสงค์ด้านการบริการสุขภาพภายในประเทศลงด้วย
ในปี 2558 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 17,660 ล้านบาท เติบโต 13% เมื่อเทียบกับปี 2557 โดยสาเหตุหลักมาจากการมีจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและการขึ้นราคาค่าบริการ นอกจากนี้ ยังมาจากความซับซ้อนและความรุนแรงของโรคด้วย อัตรากำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 28% ในปี 2557 เป็น 30.6% ในปี 2558 ดังนั้น บริษัทจึงมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ดีขึ้นจากระดับ 4,605 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 5,436 ล้านบาทในปี 2558
โดยปกติแล้ว สัดส่วนกลุ่มผู้ป่วยที่มาจากภูมิภาคตะวันออกกลางคิดเป็น 21%-24% ของรายได้รวม อย่างไรก็ตาม ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงและวันถือศีลอดที่เร็วขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางที่เดินทางมารักษาตัวที่ประเทศไทยลดลง กระนั้น จำนวนผู้ป่วยชาวต่างประเทศที่ลดลงได้รับการชดเชยจากราคาค่าบริการของผู้ป่วยในชาวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 5,926 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนของรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยทั้งประเภทผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกนั้นยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเติบโต 4% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2559 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 32.4% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 จาก 30.9% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558
ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยรายได้ของบริษัทจะเติบโตประมาณ 8% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า และอัตราส่วนกำไรน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรงโดยเฉลี่ยที่ประมาณหรือมากกว่า 30%
บริษัทอยู่ในช่วงของการขยายธุรกิจโดยยังคงเน้นตลาดบริการสุขภาพระดับบน บริษัทได้ซื้อที่ดิน 2 แปลงบนถนนเพชรบุรีและถนนสุขุมวิท ซอย 1 ใกล้กับโรงพยาบาลเดิมเพื่อใช้รองรับการขยายโรงพยาบาลในอนาคต ที่ดินแปลงที่อยู่บนถนนสุขุมวิท ซอย1 บริษัทจะพัฒนาเป็นอาคาร 3 หลัง โดย อาคารแรกจะเป็นที่จอดรถ อาคารที่ 2 เป็นศูนย์อบรมบุคลากร และอาคารที่ 3 เป็นคลีนิคผู้ป่วยนอก ด้วยมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 2,300 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังใช้เงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการปรับปรุงอาคาร BI Tower ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันของโรงพยาบาลด้วย ซึ่งบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาปีละประมาณ 1,300-1,800 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำประกอบกับจำนวนเตียงผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลปัจจุบันของบริษัท ทำให้บริษัทต้องชะลอแผนการก่อสร้างโรงพยาบาลขนาด 200 เตียงบนที่ดินที่ถนนเพชรบุรีออกไป จนกว่าจะมีความต้องการเตียงเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้น ในช่วงปี 2559-2562 บริษัทจะมีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท
บริษัทมีสภาพคล่องค่อนข้างแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมีปริมาณเงินสดคงเหลือและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวน 7,701 ล้านบาท ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทอยู่ในระดับที่เข้มแข็งและคาดว่าจะอยู่ที่ 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลปีละประมาณ 1,700-2,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ภาระหนี้สินรวมของบริษัทมีเพียงหุ้นกู้ระยะยาวจำนวน 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 28.36% ด้วยปริมาณเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจึงคาดว่าจะเพียงพอที่จะรองรับแผนการลงทุนของบริษัทในอนาคตและจ่ายเงินปันผลในช่วงปี 2559-2562 ได้ ดังนั้น อัตราการก่อหนี้ของบริษัทจึงไม่ควรเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบัน