หุ้น VGI ราคาขยับขึ้น 3.60% มาอยู่ที่ 5.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 50.35 ล้านบาท เมื่อเวลา 11.18 น. โดยเปิดตลาดที่ 5.65 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.80 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.65 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) แจ้งได้งานโฆษณารถไฟฟ้าสาย SBK (MRT1) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายใหม่ในมาเลเซีย ระยะทาง 51 กิโลเมตร (กม.) ประกอบด้วย 31 สถานี และขบวนรถไฟฟ้า 58 ขบวน เป็นระยะเวลา 10 ปี เริ่มให้บริการเฟส 1 ได้ ปลายปี 59 และเปิดบริการทั้งระบบกลางปี 60
ทั้งนี้ บริษัทเข้าไปในนามบริษัทร่วมทุน (JV) คือ Titanium Compass Sdn Bhd (TCSB) โดยถือหุ้น 19% โดยมีผู้ถือหุ้นใน JV 4 ราย รายใหญ่ที่สุดคือ Puncake Berlian Sdn Bhd ถือหุ้น 51% ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านริงกิต หรือประมาณ 8.8252 ล้านบาท
ต่อมาจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนไม่เกิน 18 ล้านริงกิต หรือ 148.536 ล้านบาท โดยบริษัทมีสิทธิในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นรวมไม่เกิน 30% และมีมูลค่าเงินลงทุนรวมภายในวงเงินไม่เกิน 5.4 ล้านริงกิตมาเลเซีย หรือ 47.66 ล้านบาท โดย Puncake Berlian จะลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ 40% บริษัทไม่ได้รายงานสารสนเทศโดยละเอียด เพราะขนาดรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ไม่เข้าข่าย (SET)
ดีบีเอสฯ มองผลกระทบเป็นบวกสำหรับเรื่องดังกล่าวที่ได้งานโฆษณารถไฟฟ้าที่มาเลเซีย ราคาหุ้นระยะสั้นอาจตอบรับทางบวก ในเรื่องการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ คือเปิดตลาดต่างประเทศครั้งแรก แต่สัดส่วนการถือหุ้นเพียง 19% ตามเกณฑ์ทั่วไปแล้วยังไม่ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) ตามส่วนได้เสีย (equity method) จึงถือเป็นบริษัทอื่น ที่รับรู้เพียงเงินปันผล ยกเว้นจะมีอำนาจในการบริหาร (control) อีกทั้งขนาดสินทรัพย์ที่ไม่มาก จนไม่ต้องรายงานสารสนเทศ จึงเห็นว่าดีลนี้มีขนาดเล็ก อีกทั้งกว่าจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็ต้องรอไปถึงกลางปี 60 เมื่อรถไฟฟ้าเปิดให้บริการทั้งระบบ
ทั้งนี้ ต้องการข้อมูลในเชิงตัวเลขเพื่อจัดทำประมาณการมากกว่านี้ รวมทั้งความสนใจของบริษัทที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็นไม่เกิน 30% หรือไม่ เนื่องจากจะมีผลต่อการจัดหาเงินเพื่อการลงทุนเพิ่มต่อไป แต่บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลในรายละเอียดได้ประมาณ พ.ย.59 หลังลงนามในสัญญาแล้ว
อย่างไรก็ตามมีข้อมูลคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารใน 34 ปีข้างหน้า ตามตารางด้านล่าง วิเคราะห์ได้ว่ากว่าจำนวนผู้โดยสารจะเท่ากับ BTS ในไทย ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันที่ 7.55 แสนเที่ยวคน แต่สัมปทานโฆษณาเป็นเวลาเพียง 10 ปี จำนวนผู้โดยสารเป็น 5.6 แสนเที่ยวคนต่อวัน ณ ปีที่ 10 หรือปี 2569 และบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนเพียง 19-30%
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ตามภาวะตลาดฯ แต่ที่ประมาณการปัจจุบัน P/E ปีนี้และปีหน้าก็ยังสูงถึง 35.7 และ 37.2 เท่า ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำในเชิงลบคือ เต็มมูลค่า (Fully Valued) ราคาพื้นฐาน 5.18 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 60-61 ที่ 35 เท่า ราคาปิดยังมีส่วนลด (downside) ได้อีก 7% เทียบกับราคาพื้นฐาน
ปัจจัยพื้นฐานบริษัทยังได้รับผลกระทบทางลบจากอุตสาหกรรมโฆษณาที่มีแนวโน้มไม่สดใส ตามภาวะเศรษฐกิจไทย แม้บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การลงทุนในกิจการที่ดี หรือซื้อกิจการ แต่ก็ยังมาเสริมกำไรให้เติบโตสูง ๆ ไม่ได้ในระยะนี้ ทั้งนี้ ยังไม่ได้รวมการขอเพิ่มทุนในลักษณะ General Mandate แบบ PP อีก 340 ล้านหุ้น จนกว่าจะรู้ราคาหุ้นเพิ่มทุนซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า แต่ Dilution Effect จะเกิดขึ้นประมาณ 4.7% ส่วนเงินเพิ่มทุนที่จะนำไปซื้อกิจการ BSSH และ BSS ซึ่งเป็นกิจการเกี่ยวกับธุรกิจ Rabbit ที่คาดว่าจะยังขาดทุนในช่วงปีนี้และปีหน้า