นายมิทซิจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนการเข้าซื้อการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนในประเทศศรีลังกา ได้แก่ Commercial Credit and Finance PLC (CCF) ในสัดส่วน 29.99% ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับรู้กำไรราว 2 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 4/59 ขณะที่จะสามารถบันทึกกำไรเข้ามาประมาณ 7 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปีจากการลงทุนดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ บริษัทยังมีโอกาสซื้อหุ้นส่วนที่เหลืออีก 70% ใน CCF หากผู้ถือหุ้นปัจจุบันต้องการขายหุ้นออกมาในอนาคตภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ซึ่งให้สิทธิลำดับแรกสำหรับ GL ก่อนตามที่ระบุไว้ในสัญญาผู้ถือหุ้นระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย
"การเข้าถือหุ้นใน CCF ซึ่งกลุ่ม GL ใช้เงินลงทุน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท ในครั้งนี้ ถือเป็นการรุกขยายธุรกิจครั้งใหญ่นอกกลุ่มประเทศอาเซียน โดยแต่เดิม GL ได้ขยายจากฐานธุรกิจในประเทศไทยสู่ประเทศข้างเคียง อาทิ กัมพูชา สปป.ลาว อินโดนีเซีย และล่าสุดเมียนมา โดยประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่งในประเทศกัมพูชา ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าผลกำไรจากธุรกิจในประเทศไทย"นายมิทซิจิ กล่าว
นายมิทซิจิ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าถือหุ้นใน CCF ครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อผลประกอบการของกลุ่ม GL โดยรวมทันที เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจาก CCF จะถูกบันทึกตั้งแต่ในไตรมาส 4/59 นี้ โดย CCF เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในศรีลังกา ที่มีผลกำไรดีและมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานในการบริหารจัดการในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ โดย CCF มีฐานสินทรัพย์ประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับฐานสินทรัพย์ประมาณ 450 ล้านเหรียญสหรัฐของ GL แต่มูลค่าตลาดของ GL สูงกว่า CCF เป็นอย่างมาก เนื่องจากความแข็งแกร่งและขนาดที่ใหญ่กว่าของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของศรีลังกาที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอย่างมาก สำหรับประมาณการกำไรสุทธิของ CCF ในปีนี้อยู่ที่ 22 ล้านเหรียญสหรัฐ
"เราจะส่งตัวแทนเข้าไปร่วมในบอร์ดของ CCF แต่จะให้คณะผู้บริหารชุดปัจจุบันมีอิสระในการบริหารต่ออย่างเต็มที่ เนื่องจากผู้บริหารชุดปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงมาก CCF เป็นบริษัทที่มีพัฒนาการมาอย่างยาวนาน โดยมีการบริหารดีเยี่ยม ทางฝ่ายเราอาจจะช่วยเสริมด้วยธุรกิจเพิ่มเติมอย่างเช่น e-payment, e-commerce และประกันภัย"นายมิทซิจิ กล่าว
นายมิทซิจิ กล่าวว่า การผนึกกำลังกับ CCF ครั้งนี้ จะส่งผลอย่างดียิ่งต่อรายได้และผลกำไรของ GL ในอนาคต เนื่องจากโมเดล group finance ซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างสมบูรณ์แบบในถิ่นกำเนิดไมโครไฟแนนซ์ในประเทศศรีลังกาและบังคลาเทศ จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของ GL ต่อการขยายตลาดจากตลาดเช่าซื้อและสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคเดิมไปสู่ตลาดไมโครไฟแนนซ์ระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากในภูมิภาคแถบนี้
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมั่นใจกำไรสุทธิทั้งปีนี้จะทำสถิติสูงสุด ซึ่งตามมุมมองของบริษัทคาดว่าจะสามารถแตะระดับ 1 พันล้านบาทในสิ้นปีนี้ จากครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 478.64 ล้านบาท ส่วนการลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของทั้งกลุ่มในสิ้นปีนี้ยังคงเป้าลดให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 4% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.8%