นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในเดือน พ.ย.หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ระดมทุนขยายโรงไฟฟ้าอีก 3 โรงเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 440 MW จากปัจจุบัน 150 MW
อนึ่ง TPIPP เป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง รวมถึงธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV)
ปัจจุบัน บริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า ที่มุ่งเน้นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งจากกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ของ TPIPL
ณ วันที่ 30 มิ.ย.59 บริษัทมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 150 MW ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 2 โรง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 80 MW แบ่งเป็นโรงละ 20 MW และ 60 MW ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยตามข้อมูลของ AWR Lloyd โดยมี กฟผ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจำนวน 73 MW และได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่ 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 7 ปีนับจากวันที่เริ่มซื้อขายไฟฟ้า
และมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง อีก 2 โรง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 70 MW แบ่งเป็นโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 40 MW และ 30 MW โดยมี TPIPL เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ที่นำขยะชุมชนและขยะจากหลุมฝังกลบในพื้นที่ต่างๆ มาผ่านกระบวนการคัดแยกและแปรรูปให้เป็นเชื้อเพลิง RDF เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีความสามารถในการรับขยะชุมชนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้ 4,000 ตันต่อวัน สามารถนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF ได้ 2,000 ตันต่อวัน
ส่วนธุรกิจหลักกลุ่มที่สองคือ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวม 12 แห่ง ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง 8 แห่ง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) 3 แห่ง และสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV) อีก 1 แห่ง ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ทีพีไอพีแอล’ (TPIPL)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการขายอินทรียวัตถุที่เหลือใช้จากสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ให้แก่บริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะอินทรีย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยชีวภาพ โปรไบโอติกส์เพื่อการเลี้ยงสัตว์ และการกำจัดสิ่งปฏิกูลในน้ำอีกด้วย
ด้านนายภากร เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPIPP กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าอีก 3 โรง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งอีก 290 MW ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะขนาด 70 MW โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะขนาด 70 MW และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินขนาด 150 MW คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จภายในปี 60 ซึ่งเมื่อรวมกับโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน จะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้นเป็น 440 MW
ทั้งนี้ หลังจากที่โรงไฟฟ้าพลังงานขยะขนาด 70 MW ติดตั้งแล้วเสร็จและดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงราวไตรมาสแรกปี 60 บริษัทมีแผนนำโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งขนาด 30 MW ที่มีอยู่เดิมมารวมกัน เพื่อให้เป็นโรงไฟฟ้าขยะขนาด 100 MW รองรับการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ.ในอนาคต ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินและขยะ และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินนั้นจะจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ TPIPL
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนขยายสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF เพื่อรองรับการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยจะขยายกำลังการผลิตให้สามารถรับขยะชุมชนเข้าสู่กระบวนการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ตันต่อวัน จากเดิม 4,000 ตันต่อวัน และสามารถนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ตันต่อวัน จากเดิม 2,000 ตันต่อวัน
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ TPIPP เปิดเผยว่า บริษัทยังมีความสนใจที่จะยื่นขอใบอนุญาตขายไฟฟ้าจากขยะชุมชน เพิ่มเติมหากภาครัฐเปิดให้ยื่นข้อเสนอในครั้งต่อไป เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนต่างๆ ในการจัดการขยะ ขณะเดียวกันบริษัทยังมองหาการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV เน้นการลงทุนด้านพลังงานทดแทนเป็นหลักทั้งพลังงานลม ขยะ และพลังงานแสงอาทิตย์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนปลายปี 60
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการนั้น บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิปี 60 จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ตามกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 440 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 150 เมกะวัตต์ โดยช่วงไตรมาส 1/60 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะเพิ่มเข้ามา 70 เมกะวัตต์ และการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน 70 เมกะวัตต์ในช่วงไตรมาส 2/60 ส่วนไตรมาส 4/60 จะมีกำลังการผลิตจากไฟฟ้าจากถ่านหินอีก 150 เมกะวัตต์
อนึ่ง ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 59 บริษัทมี รายได้ 2,255 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,135 ล้านบาท
นายประชัย กล่าวว่า ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO แล้ว บริษัทฯจะนำเงินไปคืนหนี้ให้กับบริษัทแม่ คือ TPIPL ราว 4,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการลงทุนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าอีก 3 แห่งที่จะ COD ได้ในปี 60
"เราจะมุ่งเน้นในการขยายในส่วนของไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นหลัก โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะในประเทศและประเทศรอบๆบ้านเรามีขยะเยอะก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่ต้องรอนโยบายจากภาครัฐฯว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ในขณะเดียวกันเราก็ยังมีศึกษาเรื่องไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และไฟฟ้าจากลมเพิ่มเติมด้วย"นายประชัย กล่าว
ด้านนายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผุ้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน TPIPP เปิดเผยว่า บริษัทจะเดินทางให้ข้อมูลแก่นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ คือสิงคโปร์ ฮ่องกง และยุโรป ในช่วงปลายเดือน ต.ค. นี้ เพื่อเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาถือหุ้น และคาดว่าจะกำหนดกรอบราคาจากการสำรวจความต้องการซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ในช่วงต้นเดือน พ.ย. และเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ช่วงกลางเดือน พ.ย.
ในส่วนของอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทฯจะปรับตัวลดลงอย่างมาก หรือใกล้เคียง 0 เท่า หลังจากที่มีการชำระหนี้คืนราว 4,000 บาท แล้วเสร็จ จากปัจจุบัน D/E ของบริษัทฯอยู่ที่ 0.84 เท่า
ส่วนนายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบัญชีและการเงิน TPIPL กล่าวว่า หลังจากที่ TPIPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วนำเงินกู้มาคืนให้กับ TPIPL จะช่วยลดภาระหนี้ของกลุ่มลง
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดของ TPIPP นอกจากจะช่วยลดภาระหนี้ของกลุ่มลงแล้ว ยังช่วยสร้าง well ให้แก่บริษัทฯ และทำให้มีราคาอ้างอิงที่ชัดเจนขึ้น จากปัจจุบันที่ TPIPP มีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท"นายประเสริฐ กล่าว