นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (5 ต.ค.) ด้วยทิศทางเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯและจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้นและการกลับเข้ามาซื้อหุ้นของกองทุนฯในประเทศ ทำให้โอกาสที่ดัชนีฯ จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปได้ มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,498-1,515 จุด แต่จะไม่รุนแรงไม่เหมือนวันก่อน เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนจะมีความกังวลต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯและการลด QE ของธนาคารกลางยุโรป
ตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป เปลี่ยนแปลงไม่มากนักในคืนที่ผ่านมา ความกังวลต่อกรณีของ Deutsche Bank ลดลงจึงเป็นบวกต่อตลาด โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคาร แต่ประเด็นที่พูดกันในตลาดมากๆ จะเป็นเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจขยับมาขึ้นในเดือน พ.ย. ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าอาจลดวงเงิน QE ในเร็วๆนี้ ผลต่อตลาดเลยมีทั้งบวกและลบ โดยเรื่องลบ คือ โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน พ.ย. สูงขึ้น (Fed Fund Rate Implied Probabilities เดือน พ.ย. ขึ้นจาก 17% เป็น 21% ในวันที่ผ่านมา) แต่เราให้น้ำหนักในทางบวกกับไทยในเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน ที่ออกมาดีมากกว่าที่จะกลัวการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ขณะที่ราคาน้ำมันจะได้แรงหนุนจากการลดกำลังการผลิตน้ำมันรอบนี้น่าจะจบลงที่ -1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยแบ่งเป็นกลุ่ม OPEC -0.7 ล้านบาร์เรลและ Non-OPEC -0.5 ล้านบาร์เรล แม้จะมีเรื่องค่าเงินดอลล่าร์ที่แข็งค่าเข้ามาในตลาด แต่เรามองว่าสำหรับตลาดหุ้นไทยจะเป็นบวกต่อหุ้นน้ำมันและปิโตรเคมี
ส่วนปัจจัยภายในประเทศปัจจัยหลักๆ คือกองทุนฯกลับเข้ามาซื้อหุ้นหลังปิดงบไปแล้วรวมทั้งได้ปัจจัยบวกตัวเรื่องเศรษฐกิจนอกประเทศที่ดีและ GDP ของไทยก็ทยอยถูกปรับขึ้น เป็นเหตุผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนแม้ตลาดอาจมีการดีดตัวขึ้นมาในช่วงสั้นๆ แต่ด้วยแรงซื้อที่จะยังต่อไป KTBST จึงแนะให้เล่นสั้นๆ ในหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นตามตลาด คือ กลุ่มธนาคาร สินค้าโภคภัฑณ์ แต่ควรพิจารณาจากหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหรือหุ้นที่มีการประเมินกำไรไตรมาสที่ 3 ประกอบกันไปด้วย หุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ PTTEP,IVL,KBANK,LPH,SMT