โบรกฯแนะ"ซื้อ"TSE ลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลหนุนกำไรระยะยาว ลุ้นประกาศโครงการใหม่เพิ่ม,ราคายัง laggard

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 5, 2016 15:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) มองการเข้าลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลรวม 22.2 เมกะวัตต์ (MW) จะช่วยเพิ่มกำไรได้ปีละ 150-200 ล้านบาท แม้จะต้องลงทุนจ่ายพรีเมียมสูงในการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) อยู่แล้ว แต่ระดับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจราว 11% เนื่องจากโรงไฟฟ้าชุดนี้เป็นสัญญาขายไฟฟ้าแบบ FiT ทำให้ผลตอบแทนยังคงสูงอยู่

ขณะที่คาดว่าบริษัทจะประกาศการลงทุนโครงการเพิ่มเติมได้ในช่วงปลายปีนี้ ดันกำลังการผลิตและขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกสร้าง sentiment เชิงบวก อย่างไรก็ตามในช่วง 1-2 ปีนี้คาดว่ากำไรจะเติบโตเล็กน้อยจากทยอยเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า (COD) โครงการในญี่ปุ่น ก่อนจะเริ่มโตก้าวกระโดดในปี 61

ด้านราคาหุ้น laggard ในกลุ่ม ขณะที่ยังมีอัตราการเติบโต (growth) จากการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นและพลังงานทดแทนอื่น ๆ

ราคาหุ้น TSE ช่วงบ่ายอยู่ที่ 4.98 บาท ลดลง 0.02 บาท (-0.40%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.09%

          โบรกเกอร์                      คำแนะนำ           ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เคทีบี (ประเทศไทย)              ซื้อ                    8.20
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ                ซื้อ                    7.55
          บัวหลวง                        ซื้อ                    6.30
          ทิสโก้                          ซื้อ                    6.50
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) กล่าวว่า การที่ TSE เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการ ขนาดกำลังการเสนอขายรวม 22.2 MW จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และกำไรให้กับ TSE ได้อีกมาก เนื่องจากเป็นโครงการที่มีแนวโน้มจะได้ค่าไฟแบบ FiT ซึ่งจะเพิ่มกำไรให้กับบริษัทได้ถึงปีละ 180–200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกำไรปัจจุบันปีละ 500 ล้านบาท

นอกจากนี้มีแนวโน้มที่จะประกาศโครงการเพิ่มเติมอีก จากปัจจุบันมีใบอนุญาตขายไฟฟ้าในมือราว 152 MW โดยบริษัทยังมีโครงการในญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกกว่า 106 MW และอยู่ในช่วงการศึกษาโครงการพลังงานทดแทนอื่น ๆ ทั้งในไทยและประเทศอื่นในเอเชียเพิ่มเติมด้วย โดยมองว่าบริษัทน่าจะสามารถประกาศการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มเติมอื่น ๆ ได้อีกจนถึงช่วงสิ้นปี ซึ่งจะช่วยสร้าง sentiment เชิงบวกและทำให้หุ้น TSE ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น

แนวโน้มกำไรในระยะสั้นจะสามารถเติบโตได้เล็กน้อย แต่กำไรจะเริ่มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 61 หลังจากที่โครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น COD ครบหมดแล้ว ขณะที่หากบริษัทสามารถเข้าขยายการลงทุนหรือซื้อโครงการได้เพิ่มเติมก็จะเป็น upside และทำให้กำไรในปี 62 เติบโตจากปีก่อนได้อย่างมีนัยสำคัญหลัง COD ครบทุกโครงการ

มองหุ้น TSE มีความน่าสนใจเนื่องจากยังซื้อขายค่อนข้าง laggard กลุ่ม ขณะที่บริษัทยังมี growth การเติบโตในอนาคตจากการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นและพลังงานทดแทนประเภทอื่น ๆ

"ใน 1-2 ปีนี้กำไรไม่เยอะมาก เพราะกำลังการผลิตค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ที่แนะ"ซื้อ"เพราะมองว่ามีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ กำลังการผลิตไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นใหม่ไม่เฉพาะในประเทศ มีต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะมีในประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวที่ถูกมองว่าจะเป็นบวกและสนับสนุนศักยภาพการเติบโตในอนาคต เพราะรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนค่อนข้างดีมีรายได้สม่ำเสมอและระยะยาว โดยทำประมาณการปี 59 กำไรสุทธิที่ 553 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่ 527 ล้านบาท และปี 60 กำไรโตต่อเนื่องเป็น 592 ล้านบาท"นายมงคล กล่าว

นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า การเข้าลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลรวม 22.2 MW แม้ต้นทุนลงทุนเฉลี่ยจะค่อนข้างสูง 111-120 ล้านบาท/MW เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 75-80 ล้านบาท/MW เนื่องจาก TSE ไม่ได้เป็นผู้ถือ PPA ตั้งแต่ตั้งต้น แต่เนื่องด้วยโครงสร้างสัญญารับซื้อใหม่แบบ FiT ระยะเวลา 20 ปี ก็เพียงพอในการผลิต IRR ได้ในระดับ 11.5%-10.9%

ขณะที่บนสมมติฐาน Project D/E 3:1 เท่า พบว่าในปี 61 เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ระดับ D/E ก็ยังคงต่ำที่เพียง 0.8 เท่า เนื่องจากผลกำไรจากโครงการทั้ง 2 บริษัท เริ่มส่งเข้ามาตั้งแต่ปี 61 คาดว่าโครงการของบริษัท Oscar save the world (OSCAR) จะส่งกำไรเข้ามาราว 124 ล้านบาทในปี 63 เมื่อรับรู้เต็มปี ส่วนโครงการของบริษัท บางสวรรค์ กรีน (BSW) จะส่งกำไรเข้ามา 18 ล้านบาท อิงสัดส่วนเริ่มต้น 49% ในปี 61 เมื่อรับรู้เต็มปีเช่นกัน ส่งผลให้ในภาพรวมจึงปรับประมาณการกำไรปี 61-62 ขึ้น 6%-15%

อนึ่ง TSE เข้าลงทุนใน 70% ใน OSCAR เพื่อลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่งที่ จ.นครศรีธรรมราช กำลังการผลิตรวม 17.6 MW กำหนด COD ก.พ.61 และไตรมาส 1/62 ขณะที่ลงทุน 49% ใน BSW เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 4.6MW แห่งที่ จ.สุราษฎร์ธานี กำหนด COD ในไตรมาส 3/60

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การเข้าลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการของ TSE ที่มีกำลังการผลิตรวม 22.2 MW นั้นมีมูลค่าในการลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 112 ล้านบาท/MW มองว่าเป็นราคาที่สมเหตุผลเพราะได้เป็นราคาค่าไฟฟ้าเดิม FiT 4.54 บาท/หน่วย ซึ่งเป็นอัตราที่หาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน

ประเมินว่าโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการนี้ จะหนุนกำไรให้บริษัทได้ราว 150-180 ล้านบาท/ปี คิดเป็นส่วนเพิ่มราว 25-30% จากกำไรในปัจจุบัน โดยคาดจะทยอยเริ่มรับรู้ตามแผนการ COD ตั้งแต่ปี 61-62 และคาดหนุนมูลค่าหุ้นราว 0.45-0.50 บาท/หุ้น อิงวิธีคิดลดกระแสเงินสด โดยราคาเป้าหมาย 6.30 บาท ยังไม่นับรวมโครงการชีวมวล

บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะ"ซื้อ" หุ้น TSE ราคาเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 7 บาท โดยมองว่า TSE หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือกขนาดกลางและมีผลการดำเนินงานจริง เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟในมือแล้วขณะนี้ราว 130 MW และทยอยจ่ายไฟเพิ่มจากโครงการในมือ เช่น ที่ญี่ปุ่นมี 42 MW ตั้งเป้าปีนี้จะมีเพิ่มให้ครบ 100 MW

นอกจากนี้ เข้าไปเจรจาในฟิลิปปินส์ที่จะทำโรงไฟฟ้าเช่นกันคาดว่าจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งบริษัทเข้าเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลอีกหลายแห่ง หลังล่าสุดได้มา 3 แห่งรวม 22.2 MW ซึ่งพร้อมที่จะรับรู้รายได้แล้วนั่นหมายความว่าถึงไตรมาส 4 จะมีโรงไฟฟ้าในมือไม่น้อยกว่า 150 MW ผลประกอบการจึงจะออกมาเติบโตเด่น และชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ