นายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ-การแพทย์ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เปิดเผยว่า การลงทุนเข้าซื้อโครงการปาร์คนายเลิศ มูลค่า 1.08 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโครงการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic นั้น ในเบื้องต้นนั้นอาจจะยังไม่ปิดปรับปรุงโครงการทั้งหมด แต่คงจะเปิดให้บริการโรงแรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท เพราะยังมีผู้ใช้บริการเดินทางเข้ามาพักอย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังต้องการดูแลพนักงานของโรงแรมให้ช่วยงานโรงแรมต่อไปก่อน
"ตอนนี้เราก็กำลังดู ๆ กันอยู่ว่าจะเริ่มพัฒนากันอย่างไร แต่ในส่วนของโรงแรมก็มีความเป็นไปได้ว่ายังอาจจะมีการเปิดให้บริการอยู่ เพราะโรงแรมยังสามารถสร้างรายได้เข้ามา เพราะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ และเราก็เสียดายพื้นที่ของโรงแรมที่ยังสวยอยู่ อีกทั้งก็เป็นการช่วยเหลือพนักงานของโรงแรมให้เขามีงานทำต่อ เพราะพนักงานของโรงแรมมีความชำนาญในการให้บริการ ซึ่งก็เข้ามาช่วยเราได้ แต่แผนต่าง ๆ ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณหมอปราเสริฐ จะพิจารณาอย่างไร เพราะดีลนี้ท่านเป็นคนพิจารณาเอง ซึ่งใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 เดือนถึงได้ข้อสรุป"นายแพทย์ชาตรี กล่าว
ส่วนการโครงการศูนย์สุขภาพ BDMS Wellness Clinic ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการวางแผนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นแผนการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุน ทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ รวมไปถึงแผนการออกแบบโครงการและจัดหาผู้รับเหมาที่จะเข้ามาช่วยตกแต่งโครงการ
วัตถุประสงค์ของการพัฒนาโครงการ BDMS Wellness Clinic เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของภาครัฐไนการเป็น Thailand 4.0 ในเรื่องของการเป็นศูนย์กลางของ Health & Wellness ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้กระตุ้นให้คนสนใจและหันมาใช้บริการเกี่ยวกับด้าน Wellness เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันคนไทยนิยมใช้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนที่ประเทศไทยยังขาด และเป็นการต่อยอดการบริการของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพให้ครบวงจรมากขึ้น
"ทำเลของโครงการปาร์คนายเลิศถือว่าเป็นหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดในประเทศ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม และอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ทำให้บริษัทตัดสินใจเลือกการลงทุนโครงการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร BDMS Wellness Clinic ในทำเลของโครงการปาร์คนายเลิศ"นายแพทย์ชาตรี กล่าว
ส่วนแผนงานของบริษัทที่ตั้งเป้าขยายโรงพยาบาลในเครือเพิ่มเป็น 50 แห่งทั้งในและต่างประเทศภายในสิ้นปี 60 นั้น จากปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 43 แห่ง และยังมีโรงพยาบาลที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะทยอยเปิดในปลายปีนี้ถึงปี 60 อีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลที่จอมเทียน โรงพยาบาลที่สุราษฎร์ธานี และโรงพยาบาลที่เชียงราย
อีกทั้งบริษัทยังมีที่ดินเปล่าที่เขาใหญ่ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการลงทุน รวมทั้งอีก 3 แห่งที่เหลือบริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนชัดเจนนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและมองหาโอกาสว่าจะเป็นรูปแบบการซื้อโรงพยาบาลหรือการลงทุนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
นายแพทย์ชาตรี กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าจำนวนเตียงจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,000 เตียง ภายใน 2 ปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 7,000 เตียง แต่บริษัทมีเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้มีจำนวนเตียงทั้งสิ้น 10,000 เตียง ซึ่งยังไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาที่แน่นอนในการเพิ่มจำนวนเตียงให้ได้ครบตามเป้าหมายเมื่อใด
นอกจากนี้บริษัทยังต้องการให้โรงพยาบาลในเครือเปลี่ยนการเติบโตแบบ Capacity Growth เป็น Complexity Growth โดยจะมีการเพิ่มศูนย์ Excellent Center ที่เทียบเท่ากับในอเมริกา เพื่อต่อยอดการให้บริการของโรงพยาบาลในเครือแต่ละแห่ง ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มศูนย์ Excellent Center ทั้งหมดในโรงพยาบาล 9 แห่ง โดยปัจจุบันมีเพียง 1 แห่ง อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย และอีก 8 แห่งที่เหลือจะทยอยเปิดเพิ่มในกรุงเทพฯ 3 แห่ง พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และกรุงพนมเปญ
นายแพทย์ชาตรี กล่าวว่า บริษัทยังมั่นใจว่าในปีนี้รายได้จะเติบโต 8-10% จากปีก่อนตามเป้าหมาย โดยแนวโน้มจำนวนคนไข้ไนช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก เพราะเป็นช่วงฤดูฝนและช่วงของการเปลี่ยนฤดู ทำให้คาดว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยจะสูงขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก อีกทั้งปัจจุบันยังมีคนไข้จากต่างชาติเดินทางเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลในเครือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น การ์ต้า เมียนมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต เยอรมัน และสหรัฐอเมริกา