ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันและชุดใหม่ของ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่ได้รับการยอมรับ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและการมีหลักทรัพย์สภาพคล่องในระดับสูงด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลางและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงรวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวยังส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงรักษาสถานะทางการเงินที่ยอมรับได้ และคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้ารายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 28,000-32,000 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนคาดว่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบันในขณะที่ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์รายอื่น ๆ
บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทย รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 26,260 ล้านบาทในปี 2558 และ15,433 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งอยู่ใน 3 อันดับแรกในกลุ่มผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ตระกูลอัศวโภคินมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 31% ณ เดือนสิงหาคม 2559 รองลงมาคือ Government of Singapore Investment Corporation (GIC) ในสัดส่วน 16% สินค้าหลักของบริษัทคือบ้านเดี่ยวซึ่งสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของรายได้รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขาย บริษัทมีแบรนด์สินค้าที่หลากหลายทั้งที่เป็นโครงการแนวราบและแนวสูงหลายระดับราคาในทำเลที่ตั้งที่หลากหลาย บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากในการขายบ้านเดี่ยวด้วยยอดขาย 18,244 ล้านบาทในปี 2558 เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2558 ดังนั้น ยอดขายคอนโดมิเนียมจึงลดลงถึง 60% จากปีก่อน ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 เท่ากับ 11,311 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายบ้านเดี่ยว ซึ่งถือว่าเติบโตเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปี 2558
ณ เดือนมิถุนายน 2559 บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 17,540 ล้านบาท โดยบริษัทจะรับรู้ยอดขายดังกล่าวเป็นรายได้จำนวน 6,000 ล้านบาทและ 11,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2559 และในปี 2560 ตามลำดับ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 28,000-32,000 ล้านบาทต่อปี บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เท่ากับ 22%-25% ในช่วงปี 2555 ถึงช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาถึงแรงกดดันจากต้นทุนค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการขยายธุรกิจ
บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 ที่ระดับ 47% และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 ที่ระดับ 45% ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่าตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.8 เท่า แม้ว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าหลายโครงการและมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่า บริษัทมีภาระหนี้ในระดับปานกลางโดยมีเงินลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดีซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและเงินลงทุนจำนวนมากในหลักทรัพย์สภาพคล่องสูงที่บริษัทถืออยู่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงได้บางส่วน ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของเงินลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 เท่ากับ 55,000 ล้านบาทและรายได้จากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ 2,000-2,400 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2555-2558
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ บริษัทมีความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนได้ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าการกู้เงินจากธนาคาร โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 14%-16% ในช่วงปี 2556-2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 19% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 6-8 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่า