ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาทของ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ที่ระดับ “A" ในขณะเดียวกันยังยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการจัดซื้อรถไฟฟ้าและลงทุนในระบบไฟฟ้าและเครื่องกล โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต
อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในการเป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้ารายแรกในประเทศไทย อัตรากำไรในระดับสูงและสม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและธุรกิจสื่อโฆษณา และมีโอกาสสูงในการได้รับสัญญาบริการเดินรถและซ่อมบำรุงสำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ทั้งนี้ การลงทุนระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวจะเป็นการช่วยเพิ่มความเข็งแกร่งของสถานะทางธุรกิจของบริษัท
อย่างไรก็ตาม สถานะทางการเงินของบริษัทคาดว่าจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับประมาณการที่ผ่านมา โดยภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงการลงทุนและจะปรับตัวลงหลังจากการโอนระบบไฟฟ้าและเครื่องกลให้กับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกรุงเทพมหานครและเป็นผู้ว่าจ้างและเจ้าของโครงการในปี 2563 โดยบริษัทเป็นหน่วยธุรกิจหลักของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และเป็นผู้สร้างกระแสเงินสดและกำไรให้กับบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ดังนั้น สถานะเครดิตของบริษัทและบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จึงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก ปัจจุบันทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตของบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ที่ระดับ “A" และแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่"
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับกระแสเงินสดและอัตรากำไรจากการดำเนินงานในระดับสูงจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและธุรกิจสื่อโฆษณา โดยคาดว่าการพัฒนาโครงการใหม่จะราบรื่นและตรงตามตารางเวลา โดยอันดับเครดิต และ/หรือ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทและกลุ่มบีทีเอสอ่อนแอ่ลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับประมาณการ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการลงทุนที่มีการใช้เงินกู้จำนวนมาก และ/หรือ ผลการดำเนินงานของกลุ่มบีทีเอสปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โอกาสในการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นของบริษัทยังอยู่ในวงจำกัดจากแผนลงทุนจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
เนื่องจากบริษัทถือเป็นบริษัทย่อยของบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ อันดับเครดิตของบริษัทจึงสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับอันดับเครดิตของบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงใดในอันดับเครดิตของบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
ในเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทได้ลงนามสัญญากับบริษัทกรุงเทพธนาคมในการซื้อขายและติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลสำหรับโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทได้ลงนามในสัญญาแบบเหมารวมราคาเพื่อจัดหาและติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลกับกลุ่มบริษัทซึ่งได้แก่ Bombardier Transportation Signal (Thailand) Ltd., ST Electronics (Thailand) Ltd., และ AMR Asia Co., Ltd. ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุน โดยบริษัทกรุงเทพธนาคมจะชำระราคาทั้งหมดรวมถึงค่าดอกเบี้ยของโครงการให้กับบริษัทภายในระยะวลา 4 ปี หรือสามารถขยายระยะเวลาในการชำระราคาเพิ่มได้ 2 ปี
บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพก่อตั้งในปี 2535 เพื่อก่อสร้างและดำเนินงานระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพหรือระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสภายใต้สัญญาสัมปทานเป็นเวลา 30 ปี (2542-2572) จากกรุงเทพมหานครซึ่งมีอันดับเครดิตที่ระดับ “AA+" และแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" จากทริสเรทติ้ง ภายใต้ข้อกำหนดในสัญญาสัมปทาน บริษัทได้รับสิทธิในการจัดเก็บรายได้ค่าโดยสารรวมทั้งกิจกรรมเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ทั้งหมดในสถานีในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส (เส้นทางหลัก) ระยะทาง 17 กิโลเมตรของสายสุขุมวิท (หมอชิต-อ่อนนุช) และระยะทาง 6.5 กิโลเมตรของสายสีลม (สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) โดยบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ได้ซื้อกิจการของบริษัทในเดือนพฤษภาคม 2553 และถือหุ้นในสัดส่วน 97.46% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทได้รับสัญญาให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงอายุ 30 ปี (2555-2585) จากบริษัทกรุงเทพธนาคม โดยสัญญาดังกล่าวกำหนดให้บริษัทเป็นผู้ให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีลม (วงเวียนใหญ่-บางหว้า) ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท (อ่อนนุช-แบริ่ง) และเส้นทางหลักหลังจากครบกำหนดอายุสัญญาสัมปทานในปี 2572 ทั้งนี้ ในปี 2556 บริษัทได้จำหน่ายรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตของระบบรถไฟฟ้าในเส้นทางหลักให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) มูลค่า 61,000 ล้านบาท
สำหรับกิจกรรมเชิงพาณิชย์อื่น ๆ นั้น บริษัทดำเนินการผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (วีจีไอ) ซึ่งให้บริการสื่อโฆษณาและใช้เช่าพื้นที่ร้านค้าบนระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยปัจจุบัน วีจีไอได้ขยายธุรกิจสู่การให้บริการสื่อโฆษณานอกบ้านด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการระบบตั๋วเก็บค่าโดยสารผ่าน บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยอีกด้วย สำหรับปีงบประมาณ 2559 (เมษายน 2558-มีนาคม 2559) รายได้ของบริษัทประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาคิดเป็นสัดส่วน 41% รายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง 41% ส่วนรายได้ส่วนที่เหลือมาจากรายได้จากการให้บริการอื่น ๆ
ในปีงบประมาณ 2559 รายได้ของบริษัทลดลงเป็น 4,001 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 4,952 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2558 รายได้ของบริษัทปรับลดลงเนื่องจากบริษัทได้ยกเลิกธุรกิจสื่อโฆษณาในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 แม้ว่ารายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาจะปรับตัวลดลง แต่รายได้รวมของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเป็น 1,053 ล้านบาทตามการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงและรายได้จากการให้บริการอื่น ๆ โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 45%-55% ในปีงบประมาณ 2557 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2560
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 6.8% ทั้งนี้ คาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทในอนาคตจะอ่อนตัวลงจากระดับปัจจุบัน สำหรับปี 2560-2562 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 5,000-6,500 ล้านบาท โดยที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 40% เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อใช้ในการจัดซื้อรถไฟฟ้าและลงทุนโครงการระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับประมาณ 50% โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 6-7 เท่าในช่วงการลงทุนแต่จะปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 3.5 เท่าหลังจากโครงการสำเร็จ
บริษัทมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งจากการมีเงินสดในมือจำนวน 1,660 ล้านบาทรวมถึงเงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 5,882 ล้านบาท แม้ว่ากระแสเงินสดของบริษัทจะปรับตัวลดลงอย่างมากหลังจากการจัดตั้ง BTSGIF แต่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมก็ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.3% ในปีงบประมาณ 2556 เป็น 101.7% ในปีงบประมาณ 2559 ตามเงินกู้รวมที่ลดลง อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจาก 6.6 เท่าในปีงบประมาณ 2556 เป็น 10.0 เท่าในปีงบประมาณ 2559 สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 605 ล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 89.7% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) และ 12.2 เท่าตามลำดับ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 5,160 ล้านบาท โดยมีภาระในการชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 1,395 ล้านบาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 440 ล้านบาท