นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้จะยังมีความผันผวนสูงจากหลายปัจจัย ซึ่งหลักๆจะเป็นทิศทางราคาน้ำมันดิบ การคาดการณ์ผลประชุม Fed และผลการโต้วาที (debate) ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องดูว่าน้ำหนักของปัจจัยเหล่านี้จะมีผลไปในทางใดของตลาด ส่วนตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาต่ำกว่าคาด คงไม่ได้ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยที่คาดกันว่าจะเป็นเดือน ธ.ค. นั้นเลื่อนออกไป แต่ดัชนีฯอาจเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน เพราะสถานการณ์แบบนี้นักลงทุนยังคงรอดูทิศทางมากกว่าเข้าซื้อหรือขาย
ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญๆของตลาดในสัปดาห์นี้ ให้น้ำหนักสำคัญกับ 3 ตัวแปร คือ 1.การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ที่เพิ่มขึ้น 1.56 แสนตำแหน่งในเดือน ก.ย. แม้จะต่ำกว่าตลาดคาด แต่ผนวกกับตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ และการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed ยังบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยคาดว่าจะเป็นเดือน ธ.ค.การปรับตัวขึ้นของค่าเงินดอลล่าร์และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของหลายๆประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ สวนทางกับราคาทองคำที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ข่าวที่ว่าธนาคารกลางบางประเทศ (ญี่ปุ่น และ ECB) กำลังพิจารณาปรับลดวงเงิน QE ลง ทั้งทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯและการลดวงเงิน QE ถ้าเกิดจริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะต่อตลาดหุ้นของทุกประเทศ เพียงแต่ว่าตลาดหุ้นประเทศใดจะรักษากระแสเงินลงทุน (Fund Flow) จากต่างประเทศไว้ได้มากกว่ากัน
ปัจจัยต่อมาคือการกำหนดโควต้าของผู้ผลิตน้ำมัน ประเมินว่าตัวแปรนี้มีผลต่อตลาดเพราะเป็นตัวแปรที่คาดทิศทางยากจากข่าวที่ออกมา จะมีการลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยแยกเป็นการลดกำลังการผลิตของ OPEC และ Non-OPEC 0.7 และ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ ที่เรารวบรวมมา สำหรับ Non-OPEC ประกอบด้วย รัสเซีย,โอมาน , อาเซอร์ไบจาน, คาซัคสถาน ที่มีกำลังการผลิต รวม 13.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 15% (รวมรวมโดย www.tradingeconomics.com ) ของความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลกในไตรมาส 2 ของปี 2559 หรือเพียงบางส่วนของผู้ผลิตน้ำมัน หากการประชุม 12 ต.ค.ล้มเหลว หรือนักลงทุนเห็นว่าปริมาณการผลิตที่ลดลงไม่มีนัยยะต่อราคาน้ำมัน ก็จะมีผลต่อราคาน้ำมันดิบที่อาจร่วงกลับมาซื้อขายในกรอบ $40-45 เหรียญได้ แต่หากมีโอกาสที่จะตกลงกันได้สำเร็จ ราคาน้ำมันจะมีโอกาสขึ้นไปแตะ $55 เหรียญฯ ได้ในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คาดเดาได้ยากและมีผลกับตลาดหุ้น
ปัจจัยสุดท้าย คือ การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจาก 2 ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะมีผลต่อการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ มองว่าจากการซื้อขายช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะขายมากกว่าซื้อ ดังนั้น หากตลาดหุ้นไทยไม่ได้เคลื่อนไหวในทางบวกต่อเนื่อง หรือ sideway จะเร่งให้มีการขายหุ้นออกมามากขึ้น
ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ปัจจัยหลายตัวที่ซับซ้อนดังที่กล่าวข้างต้น และไม่ได้เกิดในเวลาเดียวกัน จึงคาดว่านักลงทุนน่าจะรอให้ปัจจัยเหล่านี้มีความชัดเจน การปรับพอร์ตรับ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. น่าจะยังดำเนินต่อ และอาจเห็นนักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อขายหุ้นเป็นให้เห็นบ่อยขึ้นตอกย้ำว่าปัจจัยบวกตัวสำคัญของตลาดหุ้นคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ กำลังน้อยลงไปทุกที หากไม่ได้นักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาช่วยซื้อในสัปดาห์นี้ SET Index อาจปรับตัวลงมากกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
"การลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้ จึงประมาทไม่ได้ แม้เราไม่ได้มองตลาดเลวร้าย แต่ความไม่แน่นอนในเรื่องสำคัญๆทำให้เรามองว่าไม่ต้องรีบซื้อหรือขาย หรือแนะนำให้ “ถือ" ไว้ ซึ่งภาพในทางเทคนิคเอง ก็ส่งสัญญาณว่าจะมีการพักฐานยกเว้นว่าจะบวกในวันจันทร์ ส่วนนักเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ควรเลือกหุ้นเข้าลงทุนลักษณะเก็งกำไร โดยพิจารณาจากข่าวบวกเฉพาะตัว เก็งงบไตรมาสสาม และหุ้นที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดี โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในสัปดาห์นี้ที่ 1,477–1521 จุด"นายวิน กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนสัปดาห์นี้ได้แก่ หุ้นที่คาดจ่ายเงินปันผลดี สม่ำเสมอ DIF,TMT หุ้นที่มีรายได้-กำไร ไม่แกว่งตัวตามตลาด CPALL,EA หุ้นกลุ่มส่งออก หรือรายได้อิงดอลล่าร์ BANPU,KCE,MINT หุ้นในพอร์ตที่ KTBST วิเคราะห์ SCC,SLP,TCAP หุ้นที่มีประเด็นบวกอื่นๆ หรือราคาลงมามาก UNIQ