นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ยังมีปัจจัยลบที่ถ่วงตลาดซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่เห็นชัดคือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ทำให้อาจเห็นการ rebound ของตลาดเพราะแรงขายที่มีออกมามากเมื่อวันก่อน โดยยังต้องจับตาการ rebound ถ้ามีจะเกิดขึ้นในจุดใด และดัชนีฯจะยืนได้หรือไม่ แต่ภาพตลาดหุ้นเมื่อสิ้นวันยังมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงจากวันก่อน ทั้งนี้ ปัจจัยที่ควรติดตามในระหว่างวัน จะเป็นผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และราคาน้ำมันดิบในตลาด
ขณะที่คาดว่ากลุ่มธนาคารน่าจะทยอยส่งงบการเงินไตรมาส 3/59 ออกมาหลังจากที่บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ส่งงบการเงินไตรมาส 3/59 ออกมาแล้วเมื่อวานนี้
"กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ จึงต้องดูว่าการ rebound ถ้ามีจะเกิดขึ้นในจุดใด และดัชนีฯจะยืนได้หรือไม่ เรายังแนะนำให้ชะลอการลงทุน หรือเลือกถือเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยบวกสนับสนุนที่จะทำให้ราคายืนอยู่ได้ สำหรับการเก็งกำไรช่วงสั้น ๆ ควรเลือกหุ้นโดยพิจารณาจากข่าวบวกเฉพาะตัว เก็งงบไตรมาสสาม และหุ้นที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดี หุ้นที่มองว่าน่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรช่วงสั้น อาทิ BANPU , EGCO , ILINK , PTTGC มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,446-1,476 จุด"นายมงคล กล่าว
นายมงคล กล่าวอีกว่า สำหรับในคืนที่ผ่านมา ตลาดต่างประเทศ ฝั่งยุโรป-สหรัฐฯ ตอบรับกับเรื่องสำคัญ 2 เรื่อง คือ ผลการ Debate ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยกสองแล้วที่ poll ออกมาให้นางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตมีแต้มต่อ
ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ นั้นยังชี้ไปที่ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.ปีนี้ (Fed Fund Rate Implied Probabilities เดือน พ.ย. 17.1% แต่ของเดือน ธ.ค.ขยับขึ้นจาก 64.0% เป็น 67.6%) ขณะที่กระแสคาดการณ์ว่า การประชุมธนาคารกลางยุโรป สัปดาห์หน้า (20 ต.ค.) อาจมีการระบุถึงนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต การตีความของตลาดในเวลานี้ ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหลายๆประเทศเดินหน้าต่อ
อย่างไรก็ตามพบว่า การขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นเอเซียลดระดับลง เช่นเดียวกับของไทย นักลงทุนกลุ่มนี้ยังเป็นเข้าซื้อในตลาดหุ้น แต่กลับขายในตลาดพันธบัตร ซึ่งน่าจะมาจากการขายทำกำไร และผลจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง แต่เช้านี้ ค่าเงินบาท อ่อนค่าลงจากการแข็งค่าของดอลล่าร์ แต่แข็งกว่าเงินสกุลเอเชียสกุลอื่น
ด้านราคาน้ำมัน กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน เตรียมประชุมที่กรุงอีสตันบูล เริ่มประชุมวันที่ 12 ต.ค. เวลา 14.00 น. โดยผู้นำรัสเซียออกโรงในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง (รัสเซียผลิตน้ำมันเวลานี้พอๆกับซาอุฯ) จึงเป็นบวกต่อราคาน้ำมันและตลาดหุ้น Goldman Sachs ออกบทวิเคราะห์ประเมินว่ามีโอกาสที่จะตกลงกันได้สูง ประเมินราคาน้ำมันดิบ WTI ในกรณีที่ตกลงกันได้ที่ เฉลี่ย 52.50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีหน้า แต่ถ้าตกลงในเรื่องโควตาผลิตไม่ได้ ราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยที่ 43 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาสที่ 4
"เรามองเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย และวันที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีในตลาดต่างประเทศ ปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยตลาดเอเชียเช้านี้ ได้รับรู้ผลการ Debate ไปแล้ว ปัจจัยสำคัญจึงเหลือแค่ผลบวกจากราคาน้ำมัน ที่จะมาเป็นปัจจัยบวกของวันนี้ แต่ปัจจัยถ่วงของตลาด จะเป็น Deutsche Bank ที่ยังตกลงค่าปรับไม่ได้ และเรื่อง Brexit จากค่าเงินปอนด์ที่ยังปรับตัวลดลงจากวันก่อน"นายมงคล กล่าว