ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนผู้ถือหุ้น บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ศึกษาข้อมูลกรณีที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เห็นว่าผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.เจ เอ็ม ที พลัส (JMT Plus) ให้แก่ บมจ.เจ มาร์ท (JMART)
JMT จะเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ JMT Plus จำนวน 110 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 10 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) รวม 1,100 ล้านบาท ให้แก่ JMART ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JMT 55.88% ทำให้ JMT ถือหุ้นใน JMT Plus ลดลงจาก 99.99% เป็น 9.84% เข้าข่ายเป็นการทำรายการเกี่ยวโยงกัน (ขนาดรายการ 70.73% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีตัวตนของ JMT)
ทังนี้ คณะกรรมการของบริษัทเห็นว่า การสละสิทธิเพิ่มทุนในหุ้น JMT Plus ให้กับ JMART จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากบริษัทมีความต้องการใช้เงินทุนสูง รักษาอัตรา D/E Ratio ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบมีความเห็นเช่นเดียวกับคณะกรรมการบริษัท โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า JMT Plus ไม่สามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ เนื่องจากมีผลการดำเนินงานขาดทุน หากบริษัทเพิ่มทุนหรือให้เงินกู้ยืมเพิ่มเติมแก่ JMT Plus บริษัทจะมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้รับคืนหรือผลตอบแทนในระยะเวลาอันใกล้ และ JMT Plus ยังต้องอาศัย Synergy ของกลุ่ม JMART ในการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ จึงเห็นว่าควรอนุมัติรายการดังกล่าว
อย่างไรก็ตามที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เห็นว่าผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติรายการดังกล่าว เนื่องจากการสละสิทธิเพิ่มทุนในหุ้น JMT Plus ให้แก่ JMART ในราคาหุ้นละ 10 บาท ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากราคาดังกล่าวต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมของหุ้น JMT Plus ที่ 10.33 – 13.12 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ เงื่อนไขการทำรายการไม่เหมาะสม เนื่องจากภายหลังการทำรายการ บริษัทยังคงต้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายกรณีที่ JMT Plus ผิดเงื่อนไขของสัญญากับบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ในต่างประเทศ รวมถึงการผิดนัดชำระเงินตามสัญญา แม้ว่า JMT จะลดสถานะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ JMT Plus ก็ตาม
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ถือหุ้นของ JMT ศึกษาข้อมูลและรายงานความเห็น IFA อย่างรอบคอบและรักษาสิทธิของผู้ถือหุ้นโดยเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2559 เวลา 10.00 น. ณ อาคารเจมาร์ท บี กรุงเทพฯ
ทังนี้ การเข้าทำรายการเกี่ยวโยงกันต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้ง หมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนโดยไม่นับผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย